"จูเนียร์ กาจบัณฑิต" ตั้งใจอวดฝีมือหนัง "ธี่หยด" เล่าปมไม่คิดเข้าวงการบันเทิง

"จูเนียร์ กาจบัณฑิต" ตั้งใจอวดฝีมือหนัง "ธี่หยด" เล่าปมไม่คิดเข้าวงการบันเทิง

"จูเนียร์ กาจบัณฑิต" ตั้งใจอวดฝีมือหนัง "ธี่หยด" เล่าปมไม่คิดเข้าวงการบันเทิง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กวาดรายได้ทะยานสู่ 500 ล้าน สำหรับภาพยนตร์ ธี่หยด แถมยังสร้างชื่อให้บรรดานักแสดงหน้าใหม่กลายเป็นที่รู้จัก อย่าง พระเอกหนุ่มดาวรุ่ง จูเนียร์-กาจบัณฑิต ใจดี รับบทเป็น ยศ ทำเอาโซเชียลตื่นตาตื่นใจพูดถึงกันสนั่น

ล่าสุด sanook.com ได้พูดคุยกับ จูเนียร์ ล้วงลึกจุดเริ่มต้นจากเด็กหนุ่มสายวิชาการ เผยปมในใจไม่เคยคิดอยากเข้าวงการบันเทิง แต่เมื่อมีโอกาสได้ลองพิสูจน์ฝีมือ ทำให้เปลี่ยนความคิดเริ่มสนุกและชื่นชอบงานแสดงมากขึ้นแล้ว

ธี่หยด รายได้ทะลุ 400 ล้าน ?
"ก็ตกใจนะ ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ คือเราก็แอบหวังไว้อยู่แล้วล่ะ เราไม่ใช่ไม่หวัง ด้วยกระแสก่อนที่หนังจะออกมันค่อนข้างดีอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่คนฟังอยู่แล้วด้วย ซึ่งเราก็แอบหวังนิดนึง แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้เหมือนกัน มันเร็วมากยังไม่ถึงอาทิตย์เลย"

วันแรกที่ถ่ายทำอาจจะยังไม่ได้เริ่มคาดหวัง แต่ตอนนี้ผลงานเราได้ออกสู่สายตาผู้ชมเรียบร้อยแล้ว ?
"คาดหวังๆ ไม่บอกไม่คาดหวังก็ไม่ได้หรอก(หัวเราะ) เพราะว่าเล่นหนังทั้งทีเนอะราก็ใส่เต็มที่ เราก็พยายามให้มันออกมาดีที่สุด เพื่ออยากให้มีคนมาดูมากที่สุด ฉะนั้นเราก็คาดหวังไว้อยู่แล้วแหละ แต่แค่มันเกินจากที่เราหวังไว้ประมาณนึงเลย ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้"

ในพาร์ตการแสดงของ จูเนียร์ กับบทบาท ยศ พอได้เห็นผลงานตัวเองแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ?
"ผมว่าผมโอเคกับมันมากเลยนะ ซึ่งไม่ใช่คาแร็กเตอร์ตัวผมเองนะ คาแร็กเตอร์ทุกคนเลยผมรู้สึกว่ามันชัดเจนมากของแต่ละคน บทของแต่ละคนมันชัด มันดูออกว่านี่คือใคร ซึ่งคาแร็กเตอร์มันแตกต่างกันชัดเจนหมดเลย แล้วยิ่งเป็นตัวยศเองคือมันจะใกล้เคียงกับเราก็ไม่เชิงขนาดนั้น จะไกลก็ไม่ได้ไกลมาก ก็ดีใจที่คนชอบตัวละครนี้ ไม่ได้เกลียดตัวละครนี้ ไม่ได้ลำคาญตัวละครนี้ ซึ่งบางทีผมก็แอบกลัวว่าตัวละคร ยศ คนเขาจะเกลียดมั้ย น่ารำคาญมั้ย เพราะเอะอะมีปากเสียงกับพี่ชายอย่างเดียวเลย เราก็พยายามเล่นให้ออกมาว่าเรารักน้องคนอื่นด้วยนะ เราเกลียดแค่พี่ชายคนเดียว ไม่ได้เกลียดหรอกเราแค่ไม่ชอบเขาในละดับนึงเฉยๆ"

ตอนแสดงเราก็รู้สึกรำคาญตัวละครยศเหมือนกันเหรอ ?
"ไม่ครับ ผมไม่ได้รำคาญเลย ผมกลัวว่าผมถ่ายทอดออกมาดีไม่พอ จนเขารำคาญ ซึ่งผมไม่อยากให้มันออกมาเป็นอย่างนั้น ก็พยายามเล่นให้มันเป็นรักครอบครัวพี่น้อง ถามว่าต้องดีไซน์ตัวละครนี้ยังไง ก็พยายามใช้การพูดน้อยให้เป็นประโยชน์ เช่น เล่นด้านความรู้สึกว่า เออ เว้ย พี่ชายกลับมาบ้านก็ดีเหมือนกัน ซึ่งเราปูตัวละครไว้ก่อนหน้านี้เรามองเขาเป็นไอดอล แบบรักมากๆ รักแทนพ่อเลยเป็นฮีโร่ของเรา แต่พอเขาเลือกที่จะไปเป็นทหาร โดยที่เขาทิ้งเราไว้ ต้องมาแบกรับทุกอย่างแทน จากความที่เรามองเขาเป็นไอดอล เริ่มเกลียดเริ่มไม่ชอบพี่ พอเขากลับมาทำดีกับคนในครอบครัว รู้สึกมาจัดการทุกอย่างแทนเรา เราก็เล่นตรงนั้นให้รู้สึกว่า เราก็ยังรักเขาอยู่เหมือนเดิมนะ"

เราต้องถ่ายทั้งละครสลับกับเล่นหนัง เห็นความแตกต่างอย่างไรบ้าง ?
"อย่างแรกเลยคือบล็อกกิ้ง ซึ่งบล็อกกิ้งละครส่วนใหญ่จะมีการกำหนดว่า ต้องตรงนี้ ไปตรงนี้ๆ หรือต้องเดินกลับมามาร์กนะ ซึ่งหนังไม่ใช่อย่างนั้น หนังเป็นธรรมชาติเป็นชีวิตกว่า เดินไปตรงไหนก็ได้ แรกๆ ก็ติดมาจากละครเหมือนกัน วิธีการเล่นเราก็ปรับตัวตาม เราไม่พยายามเล่นให้มันใหญ่เกินไป เลยรู้สึกว่าเราเล่นประมาณนี้ ผมไม่รู้คนอื่นมองผมเล่นแข็งมั้ยนะ แต่ผมไม่มองว่าตัวเองเล่นแข็ง ผมพยายามเล่นให้น้อยที่สุดอยู่แล้ว ก็ค่อนข้างพอใจกับผลงานตัวเองครับ"

กระแส ธี่หยด แทบไม่พูดถึงเรื่องการแสดงของเรา แต่กลับกรี๊ดกร๊าดรูปร่างหน้าตาเรามากกว่า จนเกิดคำแซวว่า เสว ขึ้นมาเยอะมากในโซเชียล ?
"ผมก็งงเหมือนกันมันเป็นฉากไหนวะ อย่างพี่แบร์เข้าใจได้เขาถอดเสื้อเนอะ แต่เราไม่ใช่อะ เราไม่ได้มีอะไรให้มันรู้สึกไปทางนั้นเลย ก็แอบสงสัยนิดนึง ผมก็ไปดูหนังมา 2 รอบแล้วก็ยังงงอยู่ว่าฉากตรงไหน (หัวเราะ) ไม่มีถอดเสื้อเลย มีแต่พี่แบร์ถอดคนเดียวถ้าเป็นพี่แบร์พอเข้าใจได้ ผมมีก็แค่ใส่เสื้อกล้าม"

เพราะเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ในวงการภาพยนตร์หรือเปล่า ?
"ก็เป็นไปได้ หรืออาจจะเป็นความเข้มดุดัน หยาบนิดๆ อะไรแบบนี้หรือเปล่าเขาเลยอาจจะชอบ แต่แอบน้อยใจอยู่นะ เราเล่นอยากให้ดูการแสดง แต่กลับมีแต่คอมเมนต์คำว่า เสว เต็มไปหมดเลย อะไรครับเนี่ย แทนที่มันควรเป็นพี่แบร์ดูกล้ามดิขนาดนั้น"

จุดเริ่มต้นจริงๆ เหมือนเราไม่ได้อยากเข้าวงการบันเทิง ?
"ผู้จัดการผมบังเอิญเจอผมยืนอยู่หลัง ริว วชิรวิชญ์ พอดี ผมเดินถือธงจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ คือเขาเห็นเราจากในรูปสักรูปนึงก็ติดตามมา ส่วนความคิดอยากเป็นนักแสดงของผม เป็นศูนย์เลยครับ เขาตื๊ออยู่สักพักเลยผมถึงจะยอมเข้ามา"

เหตุผลแรกเริ่มที่ไม่คิดอยากจะเข้ามาในวงการบันเทิง ?
"ผมรู้สึกว่าไม่อยากจะใช้แค่หน้าตาทำงาน เราอยากใช้ความรู้ที่พยายามเล่าเรียนมาทำงานมากกว่า มันเป็นความรู้สึกประมาณนั้น ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักผู้จัดการ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ซึ่งค่อนข้างกลัวในวงการบันเทิงด้วย มันเคยมีรุ่นน้องคนนึงเขาโดนหลอกเข้าวงการบันเทิง โดนโกงอะไรแบบเนี่ย ก็เคยได้ยินมา ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้ ก็เลยค่อนข้างกลัว เรามีชุดข้อมูลนี้อยู่นิดๆ แต่เราไม่คิดจะเข้าวงการบันเทิงอยู่แล้วด้วย ก็เลยไม่สนใจ"

"จนเขาขอให้นัดแม่มา ผมเลยเริ่มเอาไงดีวะ ก็เอาชื่อเขาเซิร์ช มีชื่อนี้อยู่จริงก็ให้แม่ไปเจอหน่อยก็ได้ เผื่ออยากรู้อะไรบ้าง ตอนแรกที่ตัดสินใจเข้าวงการไม่ใช่เพราะเชื่อใจเขา เพราะอยากเงินเรียนต่อปริญญาโท เราทำงานหาเงินไปเรียนต่อ ป.โทเองดีกว่า ไม่ต้องขอพ่อแม่มันไม่เท่ ก็ลองเข้ามาถ่ายเอ็มวี โฆษณา ถ่ายแบบบ้าง"

จริงๆ อยากแค่หาเงินเรียนแล้วค่อยกลับไปทำงานที่ตัวเองชอบ ?
"ไม่ได้คิดจะถ่ายละครถึงขนาดนี้นะ เราแค่มาถ่ายแบบถ่ายโฆษณาเฉยๆ เพื่อเอาเงินไปเรียนต่อคิดแค่นั้นเลย ถามว่าตอนนี้มีเงินเรียนหรือยัง โอ้โห ผมสอบติดแล้ว และเขาบอกว่าขอไว้ปีนึงได้มั้ย ซึ่งมันผ่านมา 2-3 ปีแล้ว (หัวเราะ) ถึงตอนนี้ก็คงไม่คิดอยากจะกลับไปเรียนแล้วครับ"

แสดงว่าแพลนเราที่เคยวางแผนไว้ก่อนหน้านี้พังไปหมดแล้ว ?
"เละเลยครับ ใช้คำว่าเละได้เลย ซึ่งเราเป็นคนวางแผนชีวิตตัวเองมาระดับนึงเลยว่า เราจะเรียนตรงนี้เพื่อไปทำงานตรงนี้ แล้วก็ไปเรียนต่อนี้ พอมีตรงนี้เข้ามา ตู้ม ระเบิดแพลนตัวเองทิ้งไปหมดเลย จริงๆ ผมอยากทำงานเกี่ยวกับข้อมูล เรียนมาทางนี้โดยตรงเลย ผมชอบครับ แต่ตอนนี้ใช้คำว่าทิ้งกดลงชักโคกไปเลย(หัวเราะ)"

จากเด็กหนุ่มสายวิชาการ ตอนนี้เปลี่ยนแนวไปเลย ?
"เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ จากหุ่นยนต์ ใช้คำว่าหุ่นยนต์ได้เลย พอได้เข้ามาลองทำงานในวงการความคิดเราก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะ มันจะมีช่วงแรกๆ มันจะรู้สึกว่าเรามาทำอะไรตรงนี้วะ มันไม่ใช่ที่ของเรา เออ พอดีมั้ย พอเหอะ แต่ว่าผู้จัดการส่งเรียนการแสดงไปเยอะไง เขาลงทุนไปแล้วก็ไม่อยากทำให้เขารู้สึกเสียดายเล่น"

ผลงานชิ้นแรกที่เริ่มทำก็รู้สึกท้อแล้ว ?
"เล่นเอ็มวีครับ ละครเรื่องแรกก็รู้สึกว่ามันยากจัง ละครมันยากอะไรขนาดนี้ ไม่ใช่แค่พูดบทท่องบทเฉยๆ ไอ้การท่องบทของเรามันเป๊ะมากอยู่แล้ว เราเป็นคนจำได้มีความจำในระดับนึง ซึ่งมันไม่ใช่แค่ท่องบทไง ละครมันต้องมีอินเนอร์ มีความรู้สึก แต่ตัวเราเองไม่มีอินเนอร์ไม่มีความรู้สึกเลย เราแทบจะเป็นหุ่นยนต์ได้เลย"

"ต้องบอกว่าวงการบันเทิงเปลี่ยนผมให้เป็นมนุษย์มากขึ้น ถามว่าต้องละลายพฤติกรรมเยอะมั้ย ตอนแรกมีกำแพงในใจหนักเลยครับ มากๆ ที่คนคนนึงจะมีได้ แต่ก็ได้ผู้กำกับที่ทำละครเรื่องของผม ฉุดกระชากลากถูจนผ่านมาได้ จนทำให้เรารู้สึกเริ่มสนุกกับมันนะ มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนี่หน่า โอเค เริ่มปรับตัวได้ เริ่มชอบ เริ่มท้าทาย อยากทำให้มันดีกว่านี้ อยากไปถึงในจุดเราอยากเก่งกว่านี้ในทุกๆ วันของการแสดง"

ไปแตะโดนตรงจุดไหนถึงรู้สึกเริ่มสนุกแล้วสำหรับเรา ?
"เพราะว่ามันยากนี่แหละ ผมรู้สึกเพราะมันยาก ก็เลยรู้สึกลองทำให้ได้ดู พอทำได้ก็เริ่มสนุกกับมันอีกทีนึง ผมว่าคนอื่นอาจจะเริ่มจากศูนย์ ผมเริ่มจากติดลบไปเลย ติดลบ 100 ค่อยๆ ขยับขึ้นมาจนตอนนี้เลยศูนย์มาละ 20-30 ประมาณนี้ครับ อาจจะยังเก่งไม่มาก แต่ยังเก่งได้เรื่อยๆ แหละ"

เราเป็นคนชอบดูหนังดูละครมั้ยก่อนหน้านี้ ?
"ชอบดูหนังค่อนข้างเยอะเลย แต่ละครเด็กๆ ก็มีดูบ้างกับแม่ แต่โตมาซีรีส์เกาหลีไม่ดูเลยนะ เพิ่งมาดูตอนเข้าวงการบันเทิงก็รู้สึกเพิ่งมาติดตอนนี้ ทีนี้ก็ติดงอมแงมเลย ถามว่าด้านการแสดงดูใครเป็นไอดอลมั้ย ถ้าต่างประเทศผมชอบ จอห์นนี เดปป์ ฟีลแบบดูการแสดงก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ถ้าไม่อ่านชื่อนักแสดงก็ไม่รู้ว่านี่คือ จอห์นนี เดปป์ เขาแสดงได้แตกต่างจากตัวเองไปเลย หรืออย่าง พี่น้อย วงพรู ผมชอบมากเลย ตัวตนชีวิตจริงกับในบทบาทของเขา เราเชื่อว่ามันเป็นคนละคนจริงๆ เลย แม้กระทั่งหน้าตารูปร่าง"

จูเนียร์ตัวตนจริงๆ เป็นผู้ชายแบบไหน ?
"ตัวตนผมทุกวันนี้ก็กวนตีนครับ (หัวเราะ) ทุกวันนี้เป็นผู้ชายอบอุ่นไปแล้วเพราะว่าน้องนีน่ามากอด ทุกคนก็เห็นดูผมเป็นผู้ชายอบอุ่นไปแล้ว ผมก็รักน้องตามคลิปเลยครับ (หัวเราะ) จริงๆ ก็เป็นคนสนุกสนาน ถ้าเจอคนแปลกหน้าเราก็จะมีกำแพงนิดนึงอยู่ แต่ก่อนจะเงียบไปเลยนะ ก็โอเคปรับตัวได้เร็วขึ้น ตอนนี้กำแพงพังหมดแล้ว แฮปปี้กับงานมาสักพักแล้ว ตอนนี้คือเริ่มสนุกกับมัน เริ่มมองเป็นท้าทายอยากเก่งกว่านี้ มันข้ามคำว่าชอบไปแล้วเริ่มขยับไปอีกขั้น"

เริ่มมองหาว่างานแบบนี้อยากทำ ?
"ใช่ เริ่มมองไปแล้วครับ เช่น อยากเล่นบทโรคจิต นักฆ่า หรือเป็นคนสติไม่ดี แม้กระทั่งอยากเล่นเป็น LGBTQ+ อยากเล่นบทลึกลงไปที่มันไม่ใช่เราเลย เราอยากหลุดพ้นจากตัวเอง ถามว่ากลัวจะถอดตัวละครไม่ออกมั้ย ผมว่าผมไม่น่าเป็น ผมว่าผมน่าจะควบคุมตัวเองได้"

วางแผนงานในวงการไว้อย่างไรบ้าง ?
"ไม่มีแพลนระยะยาวเลยครับ เพราะเราเคยแพลนชีวิตตัวเองมาแล้วมันพังไปแล้ว เราก็ไม่ได้อยากจะวางให้มันใหม่ ก็รู้สึกเป็นเรื่องของอนาคต เราวางไปก็ไปเครียดเปล่าๆ เราทำปัจจุบันหรือบทบาทที่เราได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด มากๆ ที่สุดที่เราจะทำได้ ณ วันนี้ ผมว่าแค่นี้ก็ยากมากแล้วนะ ส่วนแฟนคลับตอนนี้ก็มีเยอะขึ้นครับ แต่ก็อยากให้มองที่ผลงานมากกว่าเสวนะ เสวเต็มไปหมดเลย(ยิ้ม)"

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ ของ "จูเนียร์ กาจบัณฑิต" ตั้งใจอวดฝีมือหนัง "ธี่หยด" เล่าปมไม่คิดเข้าวงการบันเทิง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook