แฟ้มคดีสุดสะพรึง "เก็นโซ คุริตะ" จากเด็กฉี่รดที่นอน สู่ฆาตกรข่มขืนเขย่าขวัญคนทั้งชาติ

แฟ้มคดีสุดสะพรึง "เก็นโซ คุริตะ" จากเด็กฉี่รดที่นอน สู่ฆาตกรข่มขืนเขย่าขวัญคนทั้งชาติ

แฟ้มคดีสุดสะพรึง "เก็นโซ คุริตะ" จากเด็กฉี่รดที่นอน สู่ฆาตกรข่มขืนเขย่าขวัญคนทั้งชาติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เก็นโซ คุริตะ (Genzo Kurita) เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1926 เริ่มต้นยุคสมัยโชวะ เป็นปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ พระอัยกาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์เป็นปีแรก ญี่ปุ่นกำลังเจริญก้าวหน้าทางกองทัพเป็นมหาอำนาจทางทหารของโลก 

คุริตะเกิดในครอบครัวยากจน เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 12 คน พ่อเป็นชาวประมงแต่สุขภาพไม่ดีจนต้องหยุดทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว มันกลายเป็นภาระของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อดูแลทุกคนในบ้านแทน คุริตะมีปัญหาขาดความอบอุ่น ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เท่าที่ควร กลายเป็นบาดแผลในใจวัยเด็กและส่งผลต่อสภาพจิตใจเขาอย่างมากสะท้อนผ่านการ ‘ฉี่รดที่นอน’

คู่มือฆาตกรต่อเนื่องของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐอเมริการะบุว่า ฆาตกรต่อเนื่องหลายคนมีปมในใจวัยเด็กซึ่งสะท้อนผ่านพฤติกรรมควบคุมตัวเองไม่ได้ สภาพจิตใจที่บิดเบี้ยวส่งผลให้แม้กระทั่งจะอดกลั้นการปัสสาวะก็ทำได้แย่ ขณะที่คนทั่วไปจะเรียนรู้และเลิกพฤติกรรมฉี่รดที่นอนได้ตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ฆาตกรต่อเนื่องหลายคนจะฉี่รดที่นอนตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่อยู่เป็นประจำ การฉี่รดที่นอนจึงเป็นลักษณะร่วมที่เหมือนกันของฆาตกรต่อเนื่อง

คุริตะฉี่รดที่นอนบ่อยครั้ง พอเข้าเรียนประถมศึกษา เขาก็ยังควบคุมปัสสาวะไม่ได้ การฉี่รดที่นอนปรากฏให้เห็นหลายครา ทำให้คุริตะกลายเป็นที่หมายปองของเด็กเกเร เขาถูกกลั่นแกล้งจากคนในโรงเรียนอย่างหนักหน่วง ทุกคนต่างบอกว่ากลิ่นตัวของคุริตะเหม็นฉี่อยู่เสมอ พอโดนแกล้งหนักเข้า ถึงชั้นป.3 คุริตะก็ลาออกจากโรงเรียนไปทำงานเป็นเกษตรกรให้กับครอบครัวมั่งคั่งแห่งหนึ่ง ด้วยวัยเพียง 9 ขวบเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ครอบครัวที่รับคุริตะมาเป็นคนรับใช้กลับไม่เคยชอบขี้หน้าเด็กคนนี้เลย นั่นก็เพราะปัญหาเรื่องการฉี่รดที่นอนที่แก้ไม่หายนี่เอง ช่วงนั้นเด็กหนุ่มเริ่มหัดลักเล็กขโมยน้อย และได้เรียนรู้ทักษะการเป็นหัวขโมย บวกกับเมื่อตอนเข้าไปทำงานใหม่ๆ ชายชราได้สอนสั่งเด็กน้อยจนจำขึ้นใจว่า 

“เอ็งจำไว้นะ เวลานอนกับผู้หญิง เอ็งจะต้องตบตีรัดคอพวกเธอไว้เสมอ” นี่กลายเป็นคำสอนประจำใจที่คุริตะยึดมั่นไปตลอดชีวิต

เด็กน้อยที่มีปัญหากับการอั้นฉี่ทำงานอยู่กับครอบครัวผู้มั่งคั่งยาวนานถึงสิบปี พอล่วงเข้าอายุ 19 ปี กองทัพบกญี่ปุ่นมีหมายเกณฑ์เรียกเด็กหนุ่มเข้ารับราชการสังกัดกองร้อยทหารราบที่ 31 ช่วงนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว และกองทัพแห่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ไม่ได้เกรียงไกรอีกต่อไป แต่อยู่ในช่วงท้ายของสงคราม ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นอย่างย่อยยับ มีการระดมคนหนุ่มไปรับราชการทหารเพื่อถูกส่งไปตายเป็นจำนวนมาก  และคุริตะเป็นหนึ่งในนั้น...

อย่างไรก็ดีแม้กองทัพจะอยากได้ชายหนุ่มจำนวนมหาศาลแค่ไหน แต่ก็ละเว้นไม่เอาเด็กคนนี้ คุริตะถูกฝึกทหารได้เพียง 2 เดือนก็ถูกปลดออกทันที เพราะนิสัยฉี่รดที่นอน หลังถูกปลดออก คุริตะเดินทางไปเมืองฮอกไกโด เข้าทำงานที่เหมืองถ่านหิน งานที่มีแต่คนแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ เพราะมันทั้งหนักทั้งเหนื่อย ไม่มีใครอยากมาทำงานที่นี่ ผู้ใช้แรงงานคือคนลุยๆ มีปัญหาอะไรก็แก้ด้วยความรุนแรง ไม่มีใครกลัวใคร 

สถานที่แห่งนี้กลับแปรเปลี่ยนให้เด็กหนุ่มขี้โรคที่แม้แต่การฉี่ก็ยังคุมไม่ได้ กลายเป็นชายหนุ่มสุดบึกบึนแกร่งกล้า ทั้งยังบ่มเพาะความรุนแรงในตัวขึ้นมาอย่างน่ากลัว

เหมืองถ่านหินเปลี่ยนเด็กขี้โรคผู้ไม่กล้าสุงสิงกับใครให้กลายเป็นชายฉกรรจ์ พฤติกรรมฉี่รดที่นอนหายไปเป็นปลิดทิ้ง คุริตะแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ หลังสงครามโลกสิ้นสุด ญี่ปุ่นอยู่ในฐานะประเทศแพ้สงคราม บ้านเมืองบอบช้ำ ความยากจนปกคลุมทุกหย่อมหญ้า อาหารขาดแคลน คุริตะเข้าร่วมในตลาดมืด หน้าฉากเขาทำงานในบริษัทข้าว แต่ลับหลังเขาจะลักข้าวไปขายในตลาดมืดที่ราคาสูง

คุริตะหากินกับธุรกิจผิดกฎหมาย ช่วงนี้เองเขาโดนจับในข้อหาลักขโมยอยู่บ่อยครั้ง ต้องเข้าออกคุกเป็นประจำ ตอนนั้นเขาไม่ใช่เด็กขี้โรคในอดีตอีกแล้ว แต่คือคนจริงที่ไม่กลัวใคร คุกจึงไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับเขา โลกภายนอกก็ไม่ได้มีอะไรน่าสยดสยองอีกต่อไป

ช่วงนี้เองที่คุริตะเริ่มฆ่าคนเป็นครั้งแรก เหยื่อคือหญิงสาวคนรักของเขานั่นเอง

ในช่วงที่ข้องแวะกับธุรกิจตลาดมืดนั้น คุริตะมีความรักสามเส้าเกิดขึ้น ทุกคนลำบาก เงินทองร่อยหรอ คุริตะเป็นคนที่มีฐานะพอไปได้จากการแอบขโมยสินค้าไปขายให้กับแก๊งอาชญากรรม นั่นทำให้เขามีความสัมพันธ์กับหญิงสาวสองคนพร้อมๆ กัน โดยคนรักทั้งสองต่างหวังบังคับจับเขาแต่งงานด้วย นั่นทำให้คุริตะรำคาญอย่างมาก ในที่สุดสิ่งที่เพาะบ่มในช่วงที่เขาทำงานในเหมืองถ่านหินก็ระเบิดขึ้นมา เขาเชื่อว่าความรุนแรงแก้ปัญหาทุกอย่างได้

เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับเธอ ชายหนุ่มจึงตอบแทนด้วยการฆ่ารัดคอหญิงสาวทิ้งเป็นศพแรก จากนั้นเมื่อคนรักอีกคนทราบเรื่องจึงโน้มน้าวหวังให้คุริตะไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ชายหนุ่มตอบแทนคำอ้อนวอนของหญิงสาวด้วยการฆ่าเธออีกศพ จากนั้นเขาก็ได้มีอะไรกับร่างหญิงคนรักที่ตายไป มันกลายเป็นความหฤหรรรษ์ที่เพิ่งค้นพบ หลังจากหนำใจแล้ว คุริตะก็นำศพไปฝังอำพรางคดีไว้

ปีศาจก่อกำเนิดขึ้นแล้ว และจะไม่มีอะไรหยุดยั้งมันได้อีก

เดือนสิงหาคม 1951 คุริตะพเนจรร่อนเร่ไปทั่วประเทศ โดยมีพฤติการณ์ย่องเบาเข้าไปบ้านคนรวยเพื่อลักทรัพย์สินไปขาย ชายหนุ่มขึ้นบ้านหลังหนึ่ง ขณะรื้อค้นทรัพย์สินเขาพบหญิงสาววัยเพียง 24 ปีหลับอยู่ข้างทารก อะไรบางอย่างกระตุ้นคุริตะและเขาไม่อาจหักห้ามมันได้ ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจเข้าข่มขืนเธอทันที ขณะที่ลูกของเหยื่อยังนอนอยู่ข้างๆ 

การข่มขืนไม่เคยพอ แต่การฆ่าต่างหากที่ทำให้คุริตะอิ่มเอม หลังย่ำยีเหยื่อ เขาก็รัดคอหญิงสาวจนเสียชีวิต ก่อนจะรื้อค้นทรัพย์สินแล้วหนีไป ปล่อยทารกนอนเดียวดายอยู่ข้างศพแม่

วันที่ 10 ตุลาคม 1951 การฆ่าที่สะเทือนขวัญที่สุดของคุริตะก็เกิดขึ้นในจังหวัดชิบะ หญิงสาวเดินทางด้วยรถไฟเพื่อมาหาสามี เธอหอบลูกสามคนมาด้วย เมื่อคุริตะพบเห็นหญิงสาวคนนี้ลงที่สถานีรถไฟในเวลามืดค่ำ ความรุนแรงก็ปะทุขึ้นมา เขาเข้าไปสอบถามพลางบอกว่าการอยู่ที่สถานีรถไฟตอนกลางคืนเป็นเรื่องอันตรายต่อหญิงสาวและเด็กๆ ดังนั้นเขาขออาสาไปส่งเธอที่บ้าน แต่หญิงสาวกับลูกๆ ไม่เคยถึงบ้าน

คุริตะหลอกล่อพาหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายไปที่หน้าผาโอเซ็น-โคโรกาชิ หน้าผาแห่งนี้มีตำนานสุดสลดเป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งถูกชาวบ้านโยนลงมาจากหน้าผา เพียงเพราะพ่อของเธอเป็นเจ้าของที่ดินผู้โลภมาก แต่ตัวหญิงสาวเป็นคนเมตตากรุณา เธอพยายามอ้อนวอนพ่อให้หยุดขูดรีดชาวบ้าน แต่พ่อไม่เคยฟัง คืนหนึ่งชาวบ้านช่วยกันจับพ่อของเธอไปโยนทิ้งหน้าผา แต่เมื่อไปดูศพตอนเช้า มันกลับกลายเป็นร่างของลูกสาวแสนดีที่บังเอิญใส่เสื้อคลุมของพ่อต่างหาก

ตำนานสุดสลดถูกแทนที่ด้วยเรื่องจริงสุดสยอง คุริตะผลักลูกชายและลูกสาวของหญิงสาวตกหน้าผาไปก่อน จากนั้นกระชากทารกออกจากอ้อมอกของแม่ แล้วลงมือข่มขืนหญิงสาวจนสาแก่ใจ จากนั้นก็ได้ก่อเหตุสุดโหดคือโยนร่างแม่และทารกร่วงจากหน้าผาไปพร้อมๆ กัน

ความโหดเหี้ยมยังไม่จบสิ้น คุริตะเดินตามลงมาจากหน้าผาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนตายหมดแล้ว แต่ปรากฏว่าทุกคนยังหายใจรวยริน เขาจึงใช้ก้อนหินทุบหัวแม่ ทารก และลูกชายคนโตจนตาย ก่อนจะหลบหนีไป โดยลืมลูกสาวอีกคนซึ่งรอดชีวิตหวุดหวิด แม้จะถูกโยนจากหน้าผาสูง แต่เด็กหญิงไม่ได้ตกลงไปถึงพื้นเบื้องล่าง เธอได้รับบาดเจ็บ ศีรษะแตก แต่ก็ยังมีลมหายใจ

เด็กหญิงซ่อนตัวในพงหญ้า เห็นฉากที่คุริตะใช้ก้อนหินทุบหัวฆ่าแม่และพี่น้องของเธออย่างเหี้ยมโหด เมื่อเขาหนีไป เธอรวบรวมเรี่ยวแรงพาร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สำเร็จ เด็กหญิงกลายเป็นพยานปากสำคัญในคดีนี้ ตำรวจส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลและรวบรวมข้อมูลคนร้ายรายนี้ทันที อย่างไรก็ดีในยุคนั้น ปัญหาอาชญากรรมมีกลาดเกลื่อน ตำรวจจึงมีงานล้นมือและไม่สามารถไล่ล่าจับกุมคุริตะได้ในทันที

ปัจจุบัน หน้าผาแห่งนั้นเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์สวยงาม แต่ก็เป็นจุดที่คนมักนิยมเดินทางมาฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผาอยู่บ่อยครั้ง มันกลายเป็นสถานที่ลองของสำหรับคนอยากวัดใจเรื่องผี ถึงขั้นมีคนเขียนคำรีวิวว่านี่คือสถานที่แสนงดงามแต่กลับให้บรรยากาศสุดสยอง

สามเดือนหลังเหตุการณ์หน้าผาสุดโหด คุริตะบุกขึ้นบ้านเศรษฐีเพื่อหวังขโมยของมีค่า ครั้งนี้เขาพบคุณป้าวัย 63 ปี กับหลานสาววัย 24 ปี อยู่ในบ้าน พวกเธอทั้งสองก็ตกเป็นเหยื่อ ถูกคุริตะจับมัด ข่มขืน แล้วฆ่าทิ้งอย่างทารุณ ตัวป้านั้นถูกกระหน่ำแทงด้วยมีดหลายแผล ขณะที่หลานถูกรัดคอจนตาย บ้านถูกรื้อค้นทรัพย์สิน คราวนี้ตำรวจเจอมีดของกลาง เมื่อนำไปตรวจลายนิ้วมือก็เชื่อมโยงกับเก็นโซ คุริตะ ชายที่เข้าออกคุกข้อหาลักขโมยได้สำเร็จ ถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่ป่าวประกาศออกหมายจับไปทั่วประเทศ

  • ลงโทษประหารชีวิต 2 ครั้ง

สุดท้ายคุริตะก็หนีไปไหนไม่รอดโดนจับตัวได้สำเร็จ แม้ตอนแรกเขาจะปฏิเสธการฆาตกรรมป้าหลานคู่นี้ แต่เมื่อสอบปากคำไปสักพักคุริตะก็รับสารภาพและได้เล่าเรื่องเหยื่อที่ถูกเขาฆ่าทั้งหมด ซึ่งมีด้วยกัน 8 รายด้วยกัน นับเป็นการฆาตกรรมสุดสยองที่เป็นข่าวฉาวไปทั่วญี่ปุ่น

แม้จะรับสารภาพเพื่อหวังลดโทษ แต่การกระทำที่โหดเหี้ยมนี้ก็เกินกว่าสังคมจะรับไหว คุริตะกลายเป็นผู้ต้องหาคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ถูกลงโทษประหารชีวิตถึงสองครั้งด้วยกัน ในช่วงนั้นอาจจะมีการโต้เถียงเรื่องโทษประหารชีวิตว่าเหมาะสมในสังคมหรือไม่ แต่ในกรณีของคุริตะ สังคมต่างพร้อมใจกันเห็นด้วยว่านี่คือมนุษย์ที่ควรต้องกำจัดอย่าให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

พลันที่ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดรายนี้ทราบข่าวว่าต้องถูกประหาร ความแข็งแกร่งที่ฝึกฝน กล้ามเนื้อที่บ่มเพาะ ความแกร่งกล้าในจิตใจ ลักษณะแบบคนจริงไม่กลัวใครที่เหมืองถ่านหินหล่อหลอมเขามาก็สลายไปในพริบตา คุริตะกลับเป็นเด็กขี้โรคอ่อนแออีกครั้ง เขากลับมาควบคุมปัสสาวะไม่ได้ ฉี่รดที่นอนในคุกอยู่เป็นประจำ 

วันที่ 14 ตุลาคม 1959 เก็นโซ คุริตะถูกนำตัวไปประหารชีวิต ปิดฉากฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญญี่ปุ่น กลายเป็นเรื่องเล่าขานจนถึงทุกวันนี้

มีบันทึกว่าขณะติดคุกรอการประหารชีวิตนั้น คุริตะเหมือนกลับไปเป็นคนอ่อนแอหมดสภาพ ไม่ใช่ฆาตกรสุดโหด เขาเอาแต่พร่ำเพ้อพูดประโยคซ้ำๆ ในเรือนจำ สะท้อนชีวิตอันบอบช้ำ ล้มเหลว และโหดเหี้ยม “ช่วยผมด้วย ใครก็ได้ช่วยผมที ผมยังไม่อยากตาย… ช่วยด้วย… ผมยังไม่อยากตาย…”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook