นายกฯ ค้าน ขึ้นค่าแรง 2-16 บาท "น้อยมาก" หวังพุ่งถึง 400 ตามนโยบายเพื่อไทย
"เศรษฐา" ไม่เห็นด้วยหลัง คกก.ไตรภาคีขึ้นค่าแรง อนุมัติปรับ 2-16 บาทน้อยมาก ไม่สอดคล้องค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน ยันต้องทบทวนใหม่ รับไม่สบายใจมาก ชี้อยากให้ค่าแรงพุ่งถึง 400 ตามนโยบายเพื่อไทย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นค่าแรง มีมติอนุมัติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 77 จังหวัด 2-16 บาท ว่า เป็นการปรับขึ้นที่น้อยมากเพราะค่าครองชีพก็สูงขึ้นทุกวัน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามทำหลายวิธีแล้วเพื่อลดค่าใช้จ่าย ทั้งลดค่าไฟ พักหนี้เกษตรกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
ขณะเดียวกันการเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมีประชาชนกว่า 10 ล้านคนต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งต่างจังหวัดขึ้นเพียง 7-12 บาท ขณะที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทคและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเดินทางไปต่างประเทศและดึงให้บริษัทยักษ์ใหญ่มาลงทุน แต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ตนต้องขอวิงวอนอ้อนวอน เพราะกลุ่มแรงงานเป็นผู้ที่ถูกผลกระทบเยอะที่สุด ซึ่งการขึ้นรายได้เป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ใช่ว่ามากดค่าจ้างแล้วนายจ้างเองไม่ได้พัฒนา
โดยรัฐบาลก็พยามช่วยเหลือเปิดตลาดใหม่ๆให้ ซึ่งนายจ้างเองปัจจุบันก็ได้ประโยชน์ ฉะนั้นวันนี้ถึงเวลาแล้วและเราจะยอมหรือที่ทำให้แรงงานไทย ค่าแรงต่ำติดดินอย่างนี้ อย่างประเทศใกล้เคียง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ค่าแรงขั้นต่ำเกือบ 1,000 บาท แล้วจะยอมให้แรงงานไทยเป็นแรงงานขั้น 2 ขั้น 3 ของโลกหรือซึ่งทุกอย่างต้องทำควบคู่กัน หากทำอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้หรอก พร้อมยืนยันว่าจะต้องทบทวนมติดังกล่าวใหม่
ส่วนแนวทางการพูดคุยจะเป็นเช่นไรนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เดี๋ยวต้องมาดู เพราะตนเพิ่งทราบข่าวเมื่อวานนี้ ก่อนย้อนถามสื่อมวลชนว่ามีเหตุมีผลหรือไม่ หากพูดถึงองค์รวมการทำธุรกิจ ไม่ใช่ว่าจะขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการอย่างเดียว แต่เราต้องพูดถึงรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างโครงการขึ้นค่าไฟผู้ประกอบการก็ได้ประโยชน์ ถึงเวลาต้องคืนให้กับผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในภาคการผลิตหรือเปล่า อันนี้ก็มาคิดกัน
ส่วนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาหลายปี แต่มีการปรับเพียง 2 บาท นายกรัฐมนตรี ตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่นว่า นั่นสิครับ ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยพูดคุยถึงเรื่องนิคมอุตสาหกรรมและเร่งรัดการท่องเที่ยว อาทิ การเปิดด่านสะเดา ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการอยู่แล้ว ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงมีการปรับขึ้นค่าแรงเพียง 2 บาท ตนก็ขอวิงวอนไว้ด้วย
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ตนต้องขอความเป็นธรรมให้กับแรงงาน เพราะหากเราติดกับดักรายได้ต่ำเช่นนี้มันไม่โอเค ซึ่งหลังจากนี้ตนก็จะคุยกับคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นค่าแรง เพราะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้อยู่แล้ว
ส่วนควรมีการปรับขึ้นค่าแรงเท่าไหร่นั้น นายเศรษฐา มองว่า ต้องขึ้นสูงกว่านี้ และฟังเหตุฟังผล อย่างที่บอกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นเพียง 2 บาท ไข่ลูกนึงยังไม่ได้เลย ส่วนที่ผู้ประกอบการอ้างว่าเศรษฐกิจตกต่ำนั้นรัฐบาลเองก็มีมาตรการช่วยเหลือ และมีการสร้างโครงข่ายทางธุรกิจ
ส่วนกังวลหรือไม่ว่าจะมีการย้ายฐานการผลิต นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่มีใครย้ายฐานจะผลิตจากการขึ้นค่าแรง 300 เป็น 400 บาท เพราะเรามีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษี เพราะเรามีหลายๆอย่างที่ดี พร้อมระบุว่าหากไม่ช่วยกันมันจะไปลำบาก โดยหากเปิดทำการจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ และเมื่อสักครู่ได้พูดคุยกับ นายอนุทินมชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งทุกท่านมีความกังวลหมด และหากดูสามัญสำนึก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นไปกี่บาท ก่อนจะกล่าวย้ำหลายๆครั้งว่า 2 บาท ใจเขาใจเรา ส่วนนายกรัฐมนตรี อยากได้ 400 ตามนโยบายที่ประกาศไว้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา ระบุว่า ดูตามความเหมาะสม จังหวัดใหญ่ๆ อาจถึง 400
เมื่อถามว่าจะอธิบายอย่างไรให้คณะกรรมการไตรภาคีเข้าใจ และจะไม่เกิดการลงถนน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ให้ความสำคัญและแสดงความคิดเห็นที่ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ไม่ใช่อยู่ดีดีจะเอาภาระผลักให้ผู้ประกอบการ พร้อมยืนยันว่าวันนี้ไม่ได้หาเสียงเพราะการหาเสียงมันจบไปแล้ว แต่เราพูดถึงความเป็นจริงว่าเราต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
อย่างไรก็ตามนายเศรษฐา ระบุว่า ตนต้องขอดูรายละเอียดข้อกฎหมาย ว่าจะต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีหรือไม่ และหากต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ตนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ตนเชื่อว่านโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ดูเรื่องความเหมาะสมเป็นนโยบายของรัฐบาล ส่วนนายกฯ ฉุนกับกรณีดังกล่าวใช่ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวกับฉุน แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องดูแลประชาชน เพราะต้องดูแลทั้ง 68 ล้านคน