ทำไม "คริสต์มาส" ต้องสีแดงกับสีเขียว และความเชื่อเรื่องจูบใต้ต้นมิสเซิลโท

ทำไม "คริสต์มาส" ต้องสีแดงกับสีเขียว และความเชื่อเรื่องจูบใต้ต้นมิสเซิลโท

ทำไม "คริสต์มาส" ต้องสีแดงกับสีเขียว และความเชื่อเรื่องจูบใต้ต้นมิสเซิลโท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทำไมต้องแขวนถุงเท้า ทำไมต้องมีใบมิสเซิลโท ทำไมต้องเคาะประตูเพื่อร้องเพลง ธรรมเนียมต่างๆที่ทำในวันคริสต์มาสคุณรู้รึเปล่าว่ามาจากไหน ถ้ายังไม่รู้วันนี้เรารวมมาไว้ให้แล้ว รับรองว่าน่าสนใจทุกเรื่องแน่นอน

ความสำคัญของวันคริสต์มาส

ก่อนอื่นเรามารู้ความสำคัญของวันคริสต์มาสกันสักหน่อย วันคริสต์มาสเป็นวันฉลองการประสูติ (เกิด) ของพระเยซู ที่ถือว่าเป็นศาสดาของชาวคริสต์ โดยชาวคริสต์จะให้ช่วงวันนี้เป็นวันหยุดยาว กลับไปหยุดอยู่กับครอบครัว เฉลิมฉลองพร้อมตกแต่งบ้านเพื่อรับสิ่งดีๆและความสุขเข้ามา

1.แขวนถุงเท้า

ตั้งแต่เด็กๆ การแขวนถุงเท้าไว้ เราจะเชื่อกันว่าซานต้าคลอสจะนำของขวัญมาใส่ไว้ในถุงเท้า หรืออย่างน้อยก็พ่อแม่ของเราที่จะเอาของขวัญมาใส่ให้ ส่วนตามความเชื่อมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกนักบุญนิโคลัสหรือซานต้าครอสคนแรก หากเดินผ่านที่ไหนแล้วเห็นหญ้าแห้งที่คนทิ้งไว้ในคืนวันคริสต์มาส เขาก็ให้เงินไว้เพื่อเป็นการตอบแทน ที่หญ้าแห้งนั้นจะเอาไปเป็นอาหารของลา

อีกเรื่องคือได้มีสามสาวพี่น้องได้วางถุงเท้าไว้บนเตาผิง นักบุญนิโคลัสเห็นเลยรู้สึกสงสารเลยโยนเหรียญทองผ่านปล่องไฟเพื่อให้เงินตกลงไปในถุงเท้าแล้วพวกเธอก็เห็นเหรียญนั้นในตอนเช้านั่นเอง

2.ต้นคริสต์มาส

มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther) นักบวชจากประเทศเยอรมันนี วันหนึ่งขณะเขาเดินกลับบ้านเขาหันไปมองเห็นความงามของแสงจันทร์ที่ทะลุผ่านกิ่งไม้ เขาเลยตัดสินใจออกไปตัดต้นไม้ต้นเล็กๆ มาวางไว้ในบ้าน แล้วเริ่มเอาเทียนมาประดับ ความสวยของมันทำให้ราชวงศ์อังกฤษนำการตกแต่งต้นไม้แบบนี้ไปใช้จนกลายมาเป็นการตกแต่งต้นคริสต์มาสจนถึงทุกวันนี้

เสริมเกร็ดสั้นๆ ว่ากันว่าลูกบอลแดงๆ ที่ใช้ประกอบเริ่มแรกมาจากลูกแอปเปิ้ลที่ใช่สื่อถึงแอปเปิ้ลในสวนเอเดนและปัจจุบันต้นคริสต์มาสก็เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งสวรรค์ที่จะส่องสว่างในความมืด นำแสงแห่งความสุขมาในคืนที่มืดมิดของเดือนธันวาคม

3.มิสเซิลโทและฮอลลี

มิสเซิลโท (MISTLETOE) ตามความเชื่อของชาวเคลทชื่อว่าต้นมิสเซิลโทเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิต ส่วนฮอลลีเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองจากอันตราย พวกเข้าเลยนำพวกมันมารวมกันเป็นพวงห้อยไว้ที่ประตูหน้าบ้าน เพราะในหน้าหนาวจะมีคืนที่กลางคืนยาวนาน (เหมายัน) การที่พวกเขาแขวนสิ่งเหล่านี้ไว้ก็เพื่อไว้คุ้มครองพวกเขาจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

4.จูบกันใต้ต้นมิสเซิลโท

วันคริสต์มาสหากได้จูบกันใต้ต้นมิสเซิลโทแล้วจะโชคดี รักกันตลอดไป ที่มานี้เชื่อกันว่ามาจากในช่วงสมัยโบราณถ้ามีผู้หญิงยืนอยู่ในต้นมิสเซิลโท หากใครไปขโมยแอบจุ้บแล้วหญิงสาวตอบรับก็จะรักกัน แต่ถ้าไม่ก็ต้องโชคร้ายไปตลอดไป (แต่อย่าไปหาทำนะในปัจจุบัน)

5.กินพายในวันคริสต์มาส

พาย อาหารสำหรับครอบครัวนอกจากจะช่วยกันทำเป็นกิจกรรมสนุกๆแล้ว ยังเป็นอาหารที่ให้ทุกคนมานั่งกินอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกด้วย ในอดีตพายเป็นอาหารที่ทำค่อนข้างยาก ใช้เวลาและส่วนผสมเยอะเลยถือว่าเป็นอาหารพิเศษที่ใช้ในเทศกาล แถมรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมราวกับเปลของพระเยซู ตามประเพณีเขาจะขอพรจากพาย จากนั้นจะกิน 12 ชิ้นเพราะเชื่อว่าจะโชคดีไปอีก 12 เดือนข้างหน้า

6.เคาะประตูร้องเพลง

เทศกาลคริสต์มาสในแถบยุโรป ผู้คนนิยมไปหาเพื่อนบ้าน คนรู้จัก ครอบครัวเพื่ออวยพรและมอบของขวัญให้ อีกหนึ่งสิ่งที่นิยมทำกันตั้งแต่อดีตคือการไปเคาะประตู้บ้านแล้วร้องเพลงเฉลิมฉลองด้วยกัน สิ่งนี้กลายมาเป็นการเปิดเพลงตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกมีความสุข

7.สีแดงกับสีเขียวในวันคริสต์มาส

คู่สีแดงกับสีเขียวที่เราเห็นในการตกแต่งหรือใช้นั้นมาจากพระเยซู อ้างอิงจากตอนที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน สีแดงหมายถึงโลหิต ความรัก สีเขียวหมายถึงความมีชีวิตชีวาจากต้น Evergreen

ธรรมเนียมทุกธรรมเนียมก็ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับพระเยซู การปกป้องจากอันตรายต่างๆ และสำคัญที่สุดคือการอวยพร การส่งความสุขให้ทุกคนเลยไม่แปลกใจว่าทำไมเทศกาลนี้จึงเป็นที่รักของทุกคนบนโลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook