เงินโอนให้พ่อถูกถอนหายปริศนานับปี ขอดูกล้องหน้าตู้ ATM เอกสารไปโผล่อีกจังหวัด
ลูกสาวโอนเงินให้พ่อเดือนละหมื่น กดใช้แค่ 3 พัน ที่เหลือถูกถอนออกปริศนานับปี งงหนัก เอกสารขอดูวงจรปิดถูกส่งไปที่ระนอง
วันนี้ (6 ก.พ.) น.ส.อัมพาพร อายุ 32 ปี ชาว ต.โคกมะม่วง อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ได้นำหลักฐานสลิปการโอนเงินให้กับ นายเลื่อน อายุ 60 ปี ผู้เป็นพ่อเดือนละ 10,000 บาท ออกมาร้องเรียนผ่านสื่อเพื่อจี้ให้ทางธนาคาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลังจากที่พ่อบอกกับลูกสาวว่าเงินที่โอนมาให้ถูกถอนออกอย่างเป็นปริศนานานนับปี โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนถอนออกรวมเป็นเงินที่หายไปกว่าแสนบาท ทั้งที่พ่อยืนยันว่าใช้บัตร ATM ไปกดถอนที่ตู้มาใช้จ่ายแค่เดือนละ 3,000 บาท
แต่เมื่อไปสอบถามกับทางธนาคารก็แจ้งว่ามีการเบิกถอนเงินผ่านบัตร ATM แต่พอขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ตู้ ATM ที่ถูกถอนเงินออก ทางธนาคารก็บอกว่าเจ้าของบัญชีต้องไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน แล้วนำใบแจ้งความกลับมาส่งให้ทางธนาคาร เพื่อจะส่งเรื่องไปยังสำนักงานใหญ่ในการอนุมัติตรวจสอบกล้องวงจรปิด
น.ส.อัมพาพร บอกว่า ได้ทำตามที่ทางธนาคารแนะนำ โดยได้ไปแจ้งความที่ สภ.ปะคำ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุที่พ่อไปกดเงิน ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2566 จากนั้นก็นำใบแจ้งความกลับไปส่งให้ธนาคารที่ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ที่พ่อเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว
แต่จนถึงขณะนี้ผ่านไปเกือบ 8 เดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้า พอไปสอบถามทางธนาคารสาขาเสิงสาง กลับเจอเรื่องที่แปลกเข้าไปอีกเพราะเอกสารที่ขอดูกล้องวงจรปิดถูกส่งไปสาขาจังหวัดระนอง ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่หากพิมพ์เอกสารผิดพลาดก็ยังแปลกว่าบุรีรัมย์กับระนองไม่ได้ใกล้เคียงกันเลยจะพิมพ์ผิดได้ยังไง
จากกรณีดังกล่าวก็ยิ่งทำให้การตรวจสอบล่าช้าออกไปอีก และเมื่อสอบถามทางธนาคารเพิ่มเติมว่าหากมีคนนำบัตร ATM ไปถอนเงินที่ตู้จริง โดยที่ไม่ใช่บัตรที่พ่อตัวเองถืออยู่จะมีบัตรอื่นที่สามารถกดถอนได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า 1 บัญชีสามารถทำบัตรกดเงินสดได้ถึง 5 ใบ ก็ยิ่งงงเข้าไปอีกเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าสามารถทำบัตรได้ถึง 5 ใบ
น.ส.อัมพาพร บอกอีกว่า เรื่องเกี่ยวกับการเงินส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะล่าช้าขนาดนี้ เพราะตนไม่รู้ว่าคนที่สวมรอยไปถอนเงินจะเป็นใคร เพราะเอกสารหลักฐานทุกอย่างก็อยู่กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร ควรเร่งตรวจสอบให้รู้ข้อเท็จจริงเพื่อประชาชนจะได้ระมัดระวังและป้องกันตนเองให้มากขึ้น เพราะมีชาวบ้านที่ไปถอนเงินที่ตู้ ATM เดียวกับพ่อก็เคยเล่าบอกให้พ่อฟังเหมือนกันว่า เงินหายไป หากเป็นมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีอะไรบางอย่างประชาชนก็จะได้ระมัดระวัง
น.ส.อัมพาพร กล่าวทิ้งท้ายว่า เงินที่โอนให้พ่อเดือนละหมื่นก็ให้พ่อไว้ใช้จ่ายและสร้างบ้านด้วย แต่พอเงินถูกถอนหายไปเป็นแสน ตอนนี้บ้านก็ยังสร้างไม่เสร็จแถมยังต้องมาติดตามเรื่องเงินหายอีก ก็ต้องเสียทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเสียเวลาทำงานอีก เพราะปกติทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วส่งเงินให้พ่อใช้ ก็อยากขอร้องให้ทางตำรวจ และทางธนาคารเร่งรัดตรวจสอบให้ด้วย