ประเด็นร้อน "มรดกหมื่นล้าน" ลูกชายร้องโดนตัดจากกองมรดก แม่ตั้งโต๊ะแถลงโต้
อีกหนึ่งประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของคนในสังคมอยู่ในตอนนี้ คือประเด็นเรื่อง “มรดกหมื่นล้าน” ของตระกูลดังจากจังหวัดนครราชสีมา ที่ทั้งสองฝ่ายออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้กันไปมาอย่างร้อนแรง แล้วกรณีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ตอนนี้ใครพูดอะไรแล้วบ้าง Sanook รวบรวมทุกประเด็นมาให้ทุกคนได้อ่านกัน
3 ทายาทหมื่นล้านถูกตัดจากกองมรดก
วันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา ทายาทหมื่นล้าน 3 ใน 4 คน ของตระกูลดังแห่งจังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับทีมทนายความ ได้ออกมาแถลงข่าวและนำเอกสารพร้อมคลิปวิดีโอบางส่วนมานำเสนอ เพื่อขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนและช่วยตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง อาทิ การทำพินัยกรรมที่ไม่ชอบมาพากล การถ่ายโอนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินและทรัพย์สมบัติกลายอย่าง รวมทั้งการตัดทายาททั้ง 3 คนออกจากกองมรดก
ทายาทคนหนึ่งระบุว่า คุณพ่อเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2566 และพินัยกรรมที่ทำขึ้น เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2564 ระบุว่า มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบุตรเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นพิรุธ เนื่องจากปลายปี พ.ศ.2563 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าพ่อป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จำลูกชายไม่ได้ และไม่สามารถทำธุรกรรมหรือพินัยกรรมใดๆ ได้ จึงทำให้ทายาททั้ง 3 คนตั้งข้อสงสัยถึงความเป็นพิรุธของเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้
- เรื่องการถอนเงินกองทุนฯ 134 ล้านบาท โดยทยอยถอนครั้งละ 30 - 40 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งปัจจุบันไม่รู้ว่าเงินดังกล่าวหายไปไหน ผู้ใดเป็นคนถอนเงิน หรือนำเงินทั้งหมดไปเข้าบัญชีใคร
- เรื่องการโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายแปลง กว่า 300 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท โดยใช้วิธีการปั๊มลายมือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัด
- เรื่องการลงนามด้วยลายเซ็นของพ่อเพื่อเปลี่ยนชื่อผู้เป็นเจ้าของสถาบัน 3 แห่ง จากเดิมเป็นชื่อของพ่อให้เป็นชื่อของแม่
- เรื่องลายเซ็นของพ่อในตัวเอกสารพินัยกรรมและใบแปะหน้าซองที่มีความแตกต่างกัน แม้จะเป็นลายเซ็นของพ่อจริง แต่ทายาททั้ง 3 เชื่อว่าพ่อเซ็นด้วยภาวะที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ
- เรื่องการจัดการศพพ่อ ซึ่งพ่อเป็นคนเชื้อสายจีน เมื่อเสียชีวิตก็ต้องนำศพไปฝังที่ฮวงจุ้ย ซึ่งก่อนเสียชีวิตได้ซื้อที่ดินและแจ้งความประสงค์กับครอบครัวแล้ว แต่กลายเป็นว่าทายาทคนโตกลับนำร่างพ่อไปฌาปนกิจแทน
นอกจากนี้ ทายาททั้ง 3 ยังกล่าวถึงท่าทีของแม่ที่เปลี่ยนไปหลังจากพ่อล้มป่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเอื้อผลประโยชน์ให้ทายาทคนโต พร้อมระบุว่าพวกตนยังไม่ได้รับเงินเดือน แม้จะยังเป็นบุคลากรในธุรกิจสถาบันการศึกษาของพ่อ แต่มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการและตั้งกฎระเบียบบังคับให้บุคลากรทุกคนต้องมาสแกนนิ้วเข้าออกงาน ทั้งที่พวกตนบางคนสอนอยู่ที่อื่น จึงรู้สึกว่ากำลังถูกบีบบังคับให้ออกจากระบบ
แม่ทายาทหมื่นล้านตั้งโต๊ะชี้แจง
ต่อมา (14 ก.พ.) แม่ของทายาทหมื่นล้านทั้ง 3 คน ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว หลังจากลูกชายออกมาร้องเรียน โดยระบุว่าตนมีลูกชายที่เปรียบเสมือนเสา 4 ต้น แต่นึกไม่ถึงว่าเสาสี่ต้นจะผุพังโดยมีปลวกคือบรรดาสะใภ้ของทั้งสามคนมารวมกันกัดกิน จนไม่มีสมองที่จะแยกแยะผิดถูกได้ เสียสมดุลและพังทลาย ทำให้เสาต้นอื่นถอยล้มไปด้วย
ในส่วนอาการป่วนของสามี เธอบอกว่าเป็นอาการหลงลืมตามวัน ไม่ใช่อาการสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ จึงยืนยันว่าสามีสติสัมปชัญญะครบ แต่ที่จำลูกชายไม่ได้เพราะลูกทั้ง 3 คนไม่เคยมาดูแลเลย ขณะที่ลูกชายคนโตมาเยี่ยมและดูแลพ่อทุกวัน จึงทำให้พ่อจำได้ พร้อมกันนี้ เธอยังได้ชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้
- เรื่องเงินกองทุนจำนวน 134 ล้านบาทที่หายไป เพราะลูกชายทั้ง 3 คนขอเบิกไปสร้างบ้านคนละ 10 ล้านบาท ขอเบิกเงินไปตกแต่งซ่อมแซมบ้าน ทำบ่อปลาคาร์ฟ ซื้อปลาคาร์ฟตัวละหมื่นบาท ทำอ่างอาบน้ำ ซื้อรถคันละหลายล้าน ค่าแม่บ้าน ค่าน้ำ-ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ค่าคลอดลูก รวมถึงค่าใช้จ่ายของลูกชายทั้ง 3 คนเดือนละ 100,000 บาท
- เรื่องที่ดิน 300 ไร่ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เธอระบุว่าที่ดินดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาทั้ง 3 แห่ง และต้องโอนให้เป็นไปตามกฎหมายของแต่ละสถาบันการศึกษานั้นๆ แต่ลูกชาย 1 ใน 3 คนนั้นกลับไม่ยอมดำเนินการ เพราะตั้งใจรวมหัวกับสะใภ้ที่จะไม่สานต่อเจตนาทำสถาบันศึกษาต่อ
- เรื่องการเปลี่ยนชื่อเจ้าของสถาบัน สามีของตนเต็มใจมอบใบอนุญาตทั้ง 3 สถาบันให้แก่ตนเพียงผู้เดียว จึงต้องรีบฉวยโอกาสเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนกับสามีไม่ให้ตกไปเป็นชองพวกเนรคุณ
- เรื่องพินัยกรรม ยืนยันว่าไม่ใช่พินัยกรรมปลอม เป็นของจริง และขอเปิดเผยต้นฉบับในชั้นศาลเท่านั้น ทั้งนี้ เหตุผลที่สามียกมรดกให้ลูกชายคนโตคนเดียว เป็นเพราะลูกชายคนโตมาเยี่ยมเช้า-เย็น จึงจำชื่อได้ แต่ลูกชายคนอื่นไม่มาดูแล จึงจำชื่อไม่ได้เลยสักคนเดียว
- เรื่องงานศพนั้น สามีไม่เคยพูดว่าจะให้นำศพไปฝังที่ฮวงซุ้ย เพราะฮวงซุ้ยดังกล่าวเป็นของพ่อแม่สามี ต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นการฌาปนกิจศพตามปกติ นอกจากนี้ งานศพของสามีที่จัดขึ้นก็เป็นไปตามความต้องการของสามี
ท้ายที่สุด เธอได้ตั้งคำถามว่าทำไมลูกชายทั้ง 3 คนไม่พูดความจริง ที่พากันไปยื่นคำร้องขอเป็นผู้อนุบาลพ่อ เพื่อจะเข้ามาผลาญทรัพย์สินที่พ่อแม่ร่วมกันสร้างมา ก่อนจะย้ำว่าที่เรื่องบานปลายก็เป็นเพราะตนไม่อยากให้ทรัพย์สินที่หามากับสามีต้องหายไปกับพวกเนรคุณ และการที่ลูกชายทั้ง 3 คนถูกตัดออกจากกองมรดกก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
3 ทายาทโต้แม่ สงสัยมีคนบงการ
หลังจากผู้เป็นแม่ออกมาแถลงข่าว ทายาททั้ง 3 คนก็ได้ชี้แจงอีกครั้ง ยืนยันว่าแพทย์เป็นคนยืนัยนว่าพ่อเป็นผู้ป่วยสมองเสื่อม โดยหลักฐานที่นำมาแสดงคือใบเวชระเบียน ซึ่งเป็นประวัติการรักษาและมีความสำคัญ ในประเด็นว่าพวกตนไม่เคยเยี่ยมคุณพ่อ ก็ขอยืนยันว่าเข้าไป แต่ช่วงหลังแม่เริ่มกีดกันไม่ให้เข้าไปเยี่ยม เหมือนมีคนคอยชักจูงให้แม่เริ่มเกลียดพวกตน มีการปิดล็อกประตูหน้าบ้าน ทั้งยังจ้างช่างมาก่ออิฐปิดทางเชื่อมระหว่างบ้านพวกตนกับบ้านแม่
พร้อมตอบโต้ประเด็เรื่องเงิน 134 ล้าน โดยพวกตนยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินกองทุนนี้ ส่วนเรื่องการสร้างบ้านและต่อเติมบ้านต้องมีใบเสร็จมาแจ้ง แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นเงินจากส่วนไหน และยอมรับว่ามีบางครั้งที่ค่าใช้จ่ายมากเกินไป อย่างไรก็ตาม การสร้างบ้านของตนไม่เกี่ยวกับเงินกองนี้ เพราะบ้านหลังสุดท้ายสร้างเสร็จปี พ.ศ. 2564 แต่เงิน 134 ล้านบาทเริ่มหายไปตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2565
สำหรับเรื่องที่ดิน 300 ไร่นั้น ตาม พ.ร.บ. ปี พ.ศ.2552 ระบุว่า การจัดตั้งสถานศึกษาต้องมีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่่า 70 ไร่ แต่สถาบันของพ่อจัดตั้งมาก่อนจะมี พ.ร.บ. นี้ออกมา จึงไม่จำเป็นต้องโอนที่ดินเป็นของสถานศึกษา และเกรงว่าถ้าหากเลิกกิจการ ที่ดินทั้งหมดจะตกเป็นของพี่ชายคนโต ซึ่งเป็นผู้ถือใบอนุญาตก่อตั้งสถานศึกษา
ในส่วนที่คุณแม่พูดถึงเสา 4 ต้น แล้วเสา 3 ค้นถูกปลวกแทะ ซึ่งปลวกที่ว่าหมายถึงภรรยาของพวกตน ก็ขอยืนยันว่าภรรยาไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือเข้ามาแทรกแซงงานบริหารที่เกี่ยวกับตระกูล นอกจากนี้ ทายาททั้ง 3 คนยังได้เปิดเผยคลิปเสียงของแม่ ที่พยายามพูดข่มขู่ให้ลูกชายคนที่ 3 ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยของตระกูล ไม่งั้นจะถูกตัดออกจากกองมรดก