"นมวัว" ทำลายสุขภาพเด็กจริงไหม? ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ตอบแล้ว เคลียร์ชัดทุกข่าวลือ

"นมวัว" ทำลายสุขภาพเด็กจริงไหม? ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ตอบแล้ว เคลียร์ชัดทุกข่าวลือ

"นมวัว" ทำลายสุขภาพเด็กจริงไหม? ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ตอบแล้ว เคลียร์ชัดทุกข่าวลือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"นมวัว" ทำลายสุขภาพเด็กจริงไหม? ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ตอบแล้ว เคลียร์ชัดทุกข่าวลือ ทั้งมะเร็ง ภูมิแพ้ ออทิซึม ฯลฯ

เอกสารชี้แจงจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทย เรื่อง การบริโภคนมวัวกับสุขภาพเด็ก

สืบเนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการผลิตชุดข้อมูลข่าวสาร เพื่อสื่อสารในช่องทางต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง "นมวัว ทำลายสุขภาพ" กันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย ทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทย จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "ผลของการบริโภคนมวัวต่อสุขภาพเด็ก" โดยมีพื้นฐานอยู่บนผลการศึกษาเชิงประจักษ์และหลักฐานทางการแพทย์ที่มีในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้

1. เคซีนในนมวัวกับการย่อยของร่างกาย เคซีนเป็นโปรตีนหลักที่พบในน้ำนมวัว ทำหน้าที่จับกับแคลเซียมและฟอสเฟตแขวนลอยอยู่ในน้ำ ทำให้น้ำนมมีลักษณะสีขาวขุ่น ในเด็กปกติที่ไม่ได้มีปัญหาการย่อยอาหารบกพร่อง ก็จะไม่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องจากการบริโภคนมวัว

2. สารตกค้างในนมวัว มีการตรวจสอบคุณภาพนมโรงเรียนทั้งทางด้านโภชนาการและจุลินทรีย์ ตามรายเขตสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขล่าสุดในปี พ.ศ. 2562 พบว่า ร้อยละ 97 มีคุณภาพผ่านมาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 350 (พ.ศ. 2556) ในปี พ.ศ. 2556 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบคุณภาพนมโรงเรียนทั้งชนิดพาสเจอร์ไรส์และยูเอชที ไม่พบว่ามีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและยาต้านจุลชีพตกค้างในทุกตัวอย่างที่ตรวจ

3. นมวัวกับภาวะกระดูกพรุน นมวัวเป็นแหล่งสำคัญของโปรตีนคุณภาพ แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง มีการศึกษาแบบวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) พบว่ากลุ่มเด็กที่บริโภคนมมีมวลกระดูกเพิ่มขึ้นทั้งร่างกายประมาณร้อยละ 3 เทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้บริโภคนม นอกจากนี้ยังเพิ่มระดับฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการเติบโต เช่น insulin-ike growth factor 1 (IGF-1) และลดการสลายกระดูก รวมถึงการบริโภคนมที่เสริมวิตามินดีจะสามารถเพิ่มระดับวิตามินดีได้เฉลี่ย 5 นาโนกรัม/มล. ซึ่งเทียบได้ประมาณหนึ่งในสี่ของระดับปกติในร่างกาย ทั้งนี้การที่เด็กได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอตามวัยตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่น จะช่วยทำให้มวลกระดูกสูงสุดดีเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และป้องกันภาวะกระดูกบางเมื่อย่างเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและสูงอายุ

4. นมวัวกับโรคมะเร็ง นมวัวประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิดที่อาจมีผลในการกระตุ้นหรือยับยั้งการเกิดมะเร็ง เช่น แลคโตเฟอริน วิตามินดี กรดไขมันสายสั้น กรดไขมันอิ่มตัว และ IGF-1 มีการทบทวนวรรณกรรมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ พบว่ามีหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอที่สนับสนุนว่าการบริโภคนมช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แต่ไม่มีหลักฐานว่าการบริโภคนมวัวทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น

5. นมวัวกับโรคออทิซึม ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาขนาดใหญ่ที่ยืนยันว่านมวัวมีส่วนทำให้เกิดโรคออทิซึม ในทางตรงกันข้าม การงดบริโภคนมวัวในเด็กที่เป็นโรคออทิซึมทำให้เกิดผลเสีย เพราะนมวัวเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโน-ทริปโตแฟน ซึ่งจะเปลี่ยนป็นซีโรโทนินในร่างกายและออกฤทธิ์ในการควบคุมอารมณ์ ปรับพฤติกรรม และช่วยในการนอนหลับ

6. นมวัวกับโรคภูมิแพ้ ทารกและเด็กเล็กที่บริโภคนมวัว มีเพียงร้อยละ 1.7 จะเกิดโรคแพ้โปรตีนนมวัว ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองกับโปรตีนในนมวัวและมีอาการแสดงออกได้หลายระบบ อาทิ ผิวหนัง ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร สำหรับข้อกังวลเรื่องการได้รับนมวัวแล้วทำให้เกิดโรคภูมิแพ้นั้น องค์กรวิชาชีพทั่โลกมีคำแนะนำว่า การจำกัดการบริโภคนมวัวในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ไม่ช่วยในการป้องกันโรคแพ้โปรตีนนมวัวในทารก รวมถึงการศึกษาแบบวิเคราะห์อภิมานล่าสุดไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการที่เด็กได้รับนมวัวกับการเกิดโรคหอบหืด การหายใจลำบากมีเสียงหวีด โรคภูมิแพ้ผิวหนัง และโรคแพ้โปรตีนนมวัว

ดังนั้น จากข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้สรุปมาข้างต้น ร่วมกับคุณค่าทางโภชนาการของนมวัวซึ่งถือเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยที่นมปริมาตร 100 ซีซี ให้พลังงานทั้งหมด 64-67 กิโลแคลอรี โปรตีน 3.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.7 กรัม (ส่วนประกอบหลักเป็นน้ำตาลแลคโตส) และไขมัน 3.7 กรัม (กรดไขมันส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว) มีแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญ ได้แก่ แคลเซียม เมกนีเซียม ซีลีเนียม วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 และกรดแพนโททีนิกซึ่งถูกดูดซึมได้ดี ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้เด็กก่อนวัยเรียนบริโภคนมวัววันละ 3 แก้ว (แก้วละ 200 ซีซี) ส่วนเด็กวัยเรียนขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่ รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร แนะนำให้บริโภคนมวัววันละ 2-3 แก้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook