แม่เฝ้าลูกชายป่วย 3 วัน จนสิ้นใจต่อหน้า ช็อก จู่ๆ ลูกส่งข้อความมา แล้วคนตายคือใคร?
แม่เฝ้าลูกชายป่วย 3 วัน จนสิ้นใจไปต่อหน้า ช็อก จู่ๆ ลูกโทรมา แล้วคนที่ตายไปคือใคร ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของโรงพยาบาล
เว็บไซต์ CBC รายงานเหตุการณ์เรื่องราวสุดช็อกของ อินสลีย์ แม่ชาวแคนาดารายหนึ่ง ที่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาล ให้มาดูใจลูกชายที่อยู่ในภาวะวิกฤต หลังแม่เฝ้าดูอาการด้วยหัวใจสลายเป็นเวลา 3 วัน เขาก็เสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตาผู้เป็นแม่ แต่ในวันที่มีแม่เตรียมจัดงานศพลูกชาย จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก อ้างว่าเป็นลูกชายและขอเงินจากเธอ ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นข้อความจากมิจฉาชีพ
ไม่กี่วันผ่านไป เธอก็ได้รับข้อความจากเบอร์แปลกนั้นอีกครั้ง ทำให้ตัดสินใจโทร.กลับไป แต่เมื่อได้ยินเสียงปลายสายก็ต้องช็อก เพราะนั่นคือเสียงลูกชายที่ตายไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอสับสนเป็นอย่างมาก เพราะลูกชายเพิ่งเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาเธอ ถ้าลูกชายตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ แล้วคนที่เตียงโรงพยาบาลคือใคร
ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจออตตาวา ในที่สุดผู้เป็นพ่อและแม่ก็สามารถติดตามไปจนถึงที่อยู่ปัจจุบันของลูกชายได้ และต้องอึ้งเมื่อพบว่าลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ซึ่งลูกชายวัย 43 ปี ยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับความสับสนผิดพลาดที่โรงพยาบาลดังกล่าว เพิ่งจะทราบเรื่องจากพ่อแม่ว่าตัวเองกลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนได้โอกาสมีชีวิตครั้งที่ 2
รายงานเผยว่าก่อนหน้านี้ ครอบครัวไม่ได้เจอหน้าลูกชายมา 4 ปีแล้ว เพราะเขาติดยาและมักจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ มักจะติดต่อหาครอบครัวเพื่อพูดคุยกันสั้น ๆ เท่านั้น จนกระทั่งวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ฝันร้ายของเธอก็เกิดขึ้นจริง เมื่อได้รับสายจากโรงพยาบาลติดต่อมาแจ้งเรื่องที่ลูกชายอยู่ในสภาพวิกฤต ขอให้เธอไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
เมื่อมาถึง รพ. ผู้เป็นแม่ก็ได้พบกับลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงห้องไอซียู รอบตัวเขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วงตัวถูกห่อด้วยผ้าห่ม มีการใส่ท่อช่วยหายใจ ทำให้ใบหน้าด้านล่างถูกบดบังไปบางส่วน
ซึ่งสมาชิกในครอบครัวอีก 5 คน ก็ไม่เคยมีใครคาดคิดว่านี่ไม่ใช่ตัวจริง เพราะทั้งคู่มีลักษณะที่คล้ายกันมาก ทั้งทำผมทรงเดียวกัน ผมหนาเหมือนกัน ขนตายาวเหมือนกัน ครอบครัวของเธออยู่เคียงข้างชายคนนั้นในวาระสุดท้ายโดยคิดว่าเป็นลูกหลานของตัวเอง จนเขาเสียชีวิต ผู้เป็นแม่ยังสานต่อความตั้งใจของลูกชายด้วยการเซ็นเอกสารบริจาคอวัยวะ ซึ่งร่างกายนี้สามารถช่วยได้อีก 3 ชีวิต ที่รอการเปลี่ยนตับและไต
สำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น เริ่มจากมีคนพบชายที่หมดสติอยู่ในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ซึ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลต้องใช้อุปกรณ์พยุงชีพเพื่อช่วยชีวิตเขา และผู้ป่วยก็ไม่เคยฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกเลย อย่างไรก็ตาม พยาบาลรายหนึ่งเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นลูกชายของอินสลีย์ ที่เพิ่งเข้ามารักษาตัวด่วนเมื่อ 2 เดือนก่อน จากเหตุเสพยาเกินขนาด เพราะทั้งคู่มีลักษณะที่เหมือนกันมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผิดพลาดที่ไม่มีการขอให้ครอบครัวของอินสลีย์ยืนยันอัตลักษณ์และลักษณะของลูกชายอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยบนเตียงมีรอยสักที่แขน แตกต่างไปจากลูกชายของอินสลีย์ แต่ทางครอบครัวเองก็ไม่ได้เอะใจสงสัย เพราะร่างกายของผู้ป่วยถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าห่ม
ด้าน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของโรงพยาบาล เผยว่า เจ้าหน้าที่เพิ่งได้รับแจ้งเรื่องการระบุตัวผู้ป่วยไม่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 19 มกราคม ตอนนี้ครอบครัวที่แท้จริงของผู้ป่วยที่เสียชีวิตได้รับแจ้งข้อมูลแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย รวมถึงขออภัยทั้ง 2 ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์อันทุกข์ทรมานนี้
อินสลีย์ บอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนฝันร้ายที่กระทบกระเทือนจิตใจมาตลอดหลายวัน มันแย่มากที่ต้องคิดว่าเธอได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเธอก็ได้แสดงความรักทั้งหมดแก่ชายหนุ่มอีกคน โดยไม่ทอดทิ้งเขาไปไหนจนวาระสุดท้าย