สส.โรม เชื่อสังคมคาใจสุขภาพ "ทักษิณ" ไปเชียงใหม่เอี่ยวการเมือง ไม่แน่ใจตกลงใครนายก?

สส.โรม เชื่อสังคมคาใจสุขภาพ "ทักษิณ" ไปเชียงใหม่เอี่ยวการเมือง ไม่แน่ใจตกลงใครนายก?

สส.โรม เชื่อสังคมคาใจสุขภาพ "ทักษิณ" ไปเชียงใหม่เอี่ยวการเมือง ไม่แน่ใจตกลงใครนายก?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“รังสิมันต์” เชื่อสังคมคาใจสุขภาพ “ทักษิณ” อัดรัฐบาลไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน จี้แสดงความซื่อสัตย์ ชี้ปฏิเสธไม่ได้ ไปเชียงใหม่ ไม่เกี่ยวการเมือง

นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นนัยทางการเมืองในช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. หรือไม่ว่า หลายฝ่ายก็มองความเป็นไปได้ว่าสุดท้าย นายทักษิณต้องการทวงคืนพื้นที่ ก็คงต้องไปรอดูรายละเอียดมากกว่านี้ แต่อาจจะเป็นการอยากกลับบ้านหรือไม่ก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องมองมากกว่านี้ ที่สังคมเข้าใจ คือ เรื่องสุขภาพ เพราะที่ผ่านมาประชาชนรับรู้ว่าสุขภาพแย่มาก แต่อยู่ๆ ก็สามารถเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ได้ ตนคิดว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดความคาใจว่า ตกลงแล้วรัฐบาลหลอกหรือไม่ เพราะถ้ารัฐบาลไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน ตนเชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้น ถ้านายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง และรัฐบาลหลอก ก็ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน

ส่วนในทางการเมืองก็ต้องยอมรับว่านายทักษิณมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ พวกเราเคยอภิปรายถึงนายทักษิณและนายเศรษฐา ทวีสิน ในสภา เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันคนละเรื่อง จึงเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงใครคือนายกรัฐมนตรี ใครไม่ใช่ ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่านายทักษิณก็จะมีบทบาทสำคัญ ส่วนจะเป็นในการเลือกตั้งนายก อบจ.หรือเลือกตั้งระดับอื่น เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาและวางยุทธศาสตร์ทางการเมือง แต่สุดท้ายอาจจะเป็นแค่อยากกลับบ้านก็เป็นไปได้

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวอีกว่า ตนอยากโฟกัสถึงความตรงไปตรงมา ความซื่อสัตย์ของรัฐบาลมากกว่า ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลที่หลอกลวงประชาชน อยากเห็นรัฐบาลที่พูดความจริง ซึ่งหลายฝ่ายบอกว่านายทักษิณถูกกระทำมาก่อน ตนก็เห็นด้วย มีหลายข้อที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่การแก้ไข ไม่ใช่การโกหก ต้องมาคุยด้วยกติกาในระบบ โดยสามารถแก้ไขได้

ทั้งนี้ จะนำเรื่องนี้มาอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 หรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า ยังอยู่ในกระบวนการสรุปหัวข้ออภิปราย คงยังตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้ แต่จะพยายามหยิบยกเรื่องสำคัญขึ้นมา เนื่องจากครั้งนี้เป็นการอภิปรายทั่วไป ไม่ลงมติ คงไม่นำไปสู่การถอดถอนนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี แต่แน่นอนว่ามีภาระทางการเมืองที่รัฐบาลต้องตอบและต้องยอมรับว่า ถ้าเราดูจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาลในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นต้นมา จนมาถึงกรณีของนายทักษิณ ที่ประชาชนไม่เชื่อว่ารัฐบาลพูดความจริง ผนวกกับเมื่อฟังคำตอบในเวทีการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ก็จะยิ่งสร้างปัญหาความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ขออย่าดูเบาผลลัพธ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู

ขณะเดียวกัย ต้องยอมรับว่า เรามีเวลาน้อย เนื่องจากมีการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ต้องพูดตรงๆ ว่ารัฐบาลนี้ไม่เหมือนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สามารถนับต่อตั้งแต่ คสช. แต่ต้องดูการบริหารงานการบริหารงานต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ หากคิดว่ารัฐบาลตอบไม่ดี จะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะในวันนี้ แต่จะเป็นปัญหาในการบริหารงานในอนาคตอย่างแน่นอน พร้อมยืนยันว่า การอภิปรายในครั้งนี้ ไม่ใช่หมัดแย็บ แต่จะเป็นคำถามสำคัญ แม้พรรคก้าวไกล จะต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องอื่นก็ตาม และยอมรับว่า มีหลายเรื่องที่ทำให้เราหลุดโฟกัส เช่น การที่ กกต.ส่งเรื่องยุบพรรคไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคก้าวไกล มักอ้างจะแตะไปที่กระบวนการในกรณีของนายทักษิณ ไม่เหมือนกับยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่พุ่งไปที่ตัวบุคคล นายรังสิมันต์ ชี้แจงว่า ครั้งที่เราอภิปรายไม่ใช่ว่า ไม่แตะนายทักษิณ แต่ได้อภิปรายถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง การที่โฟกัสกระบวนการ เพราะยั่งยืนที่สุด และต้องยอมรับว่า นายทักษิณกับพลเอกประยุทธ์เป็นคนละกรณีกัน เพราะพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาและสืบทอดอำนาจ แต่กรณีนายทักษิณที่สามารถเข้าที่สามารถกลับเข้าประเทศได้ มองว่าเป็นขบวนการที่ไม่ควรมองว่าเป็นขบวนการที่ไม่ควรเกิดขึ้นในลักษณะนี้ เพราะไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นกับทุกคนได้ สุดท้ายสังคมจะมองเป็นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งการที่สังคมไทยถูกทำให้รู้สึกว่ามีคนบางกลุ่มได้อภิสิทธิ์บางอย่างเหนือกว่าคนอื่น สังคมจะอยู่ได้อย่างไร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook