ลุงป้าเก็บของเก่า ร่ำไห้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยขโมยแหวนเพชร หลังคนรวยเผลอทิ้งลงขยะ
ลุงป้าเก็บของเก่า ร่ำไห้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยขโมยแหวนเพชร หลังคนรวยเผลอทิ้งลงขยะเอง เครียดกลัวติดคุกตอนแก่
จากกรณีเพจ บ้านดุง อัพเดต Bandung Update ได้โพสต์ภาพสามีภรรยากับรถสามล้อเครื่อง พร้อมข้อความว่า “พ่อผมไม่ใช่ขโมย ชาวบ้านเขต อ.เมือง จ.อุดรธานี ขอความช่วยเหลือมาหาทางบ้านดุงอัพเดท ว่าวันหนึ่ง พ่อกับแม่ไปคุ้ยขยะหาของเก่าอยู่หน้าบ้านคนรวย แล้วโดนแจ้งความจับว่าขโมยแหวนเพชร เก็บแหวนเพชรได้แล้วไม่ยอมคืน เพราะว่าเจ้าของบ้านบอกว่าลืมแหวนเพชรไว้ในถังขยะ พ่อแม่ก็ยอมให้ค้นและก็ไม่เจอ ไปแจ้งความดำเนินคดีพ่อแม่ผม ท่านทำอาชีพนี้มาเกือบ 20 ปี ไม่เคยขโมย ผมไม่อยากให้พ่อให้แม่ผมมาติดคุกตอนแก่ ทั้งที่ท่านไม่ได้ขโมย ขอความเป็นธรรมร้องสื่อ ช่วยพ่อแม่ผมด้วยนะครับ”
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบชาย อายุ 68 ปี และภรรยา อายุ 58 ปี ทั้งสองนอนอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปเก็บของเก่าเหมือนทุกวัน และมีสีหน้าวิตกกังวล ชายคนดังกล่าว เล่าว่า ตนทำอาชีพเก็บของเก่ามาตั้งแต่ปี 2546 หรือประมาณ 20 ปี หาเงินเลี้ยงครอบครัว มีตน ภรรยา และแม่ยาย อายุ 90 ปี ส่วนลูกชายทำงานเป็น รปภ. ตนและภรรยามีความรู้สึกกังวลใจที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยแหวนเพชร ที่คนรวยหลงลืมเอามาทิ้งถังขยะ แล้วตนมาเก็บของเก่าในขยะในวันเดียวกัน ทำให้เป็นผู้ต้องสงสัย
ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนและภรรยาขี่รถสามล้อเครื่องไปเก็บของเก่าในถังขยะตามเขตเทศบาลนครอุดรธานี พอไปถึงถังขยะที่ตั้งอยู่บนฟุตบาท พื้นที่ว่างเปล่า ริมถนนวัฒนานุวงศ์ ตรงข้ามร้านขายอุปกรณ์เกมส์คอมพิวเตอร์ ตนและภรรยาก็ค้นหาของเก่าตามปกติ โดยจะเน้นขวดพลาสติกและกระป๋องน้ำอัดลม เสร็จแล้วก็ขับรถสามล้อเก็บของเก่าไปเรื่อย ๆ แล้วกลับมาแยกขยะที่บ้าน เตรียมนำไปขาย
วันต่อมา 8 มี.ค. ตนและภรรยาไปเก็บของเก่าบริเวณถนนอุดลยเดช ก็ได้มีผู้ชายเข้ามาถามว่า เมื่อวานได้ไปเก็บของเก่าที่ถังขยะฝั่งตรงข้ามร้านขายอุปกรณ์เกมส์คอมพิวเตอร์หรือไม่ ถ้าได้ไปเก็บเห็นแหวนเพชรและต่างหูอยู่ในกระดาษทิชชูในถุงขยะหรือไม่ ซึ่งตนบอกว่าไม่เห็น
จากนั้นเขาเลยเชิญตนและภรรยาไปโรงพัก เพื่อให้ตำรวจสอบถามอีกครั้งว่าเห็นหรือไม่ หากพบเห็นก็ให้เอามาคืนเจ้าของ ซึ่งตนก็ตอบว่าไม่เห็น หากเห็นก็จะคืนให้ เพราะตนไม่มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย สามารถตรวจสอบประวัติตนได้ เสร็จแล้วก็ปล่อยตัวกลับบ้าน และวันที่ 10 มี.ค. ก็มีการเชิญตนและภรรยาไปโรงพักอีกครั้ง ตนจึงชวนประธานชุมชนไปดูกล้องวงจรปิดด้วย เมื่อได้ดูกล้องวงจรปิดก็เห็นตนเก็บของเก่าโยนขึ้นรถเท่านั้น
ทราบว่าเจ้าของร้านถอดแหวนเพชร ต่างหู และฟันปลอม ห่อด้วยกระดาษทิชชูวางไว้ในห้องน้ำ แต่สามีเจ้าของร้านไม่รู้ นึกว่าเป็นขยะ จึงหยิบใส่ถุงหูหิ้วพลาสติกนำไปทิ้งขยะเวลา 12.30 น. ส่วนตนไปเก็บของเก่า 16.20 น. ตนและภรรยาก็ยังยืนยันว่าไม่เห็นแหวนเพชรและต่างหูแต่อย่างใด แต่เจ้าของร้านบอกว่าเสียความรู้สึก แล้วความรู้สึกพวกตนล่ะ แม้จะเป็นคนจนแต่ก็เสียใจที่ถูกกล่าวหา
เหคุการณ์ดังกล่าวมีการลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ส่วนตำรวจบอกว่าจะออกหมายเรียก ให้ตนไปปฏิเสธบนศาล ก็แสดงว่าพวกตนจะต้องถูกดำเนินคดี ทั้งที่พวกตนไม่ได้ขโมย หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตนและภรรยาก็รู้สึกเสียใจ กังวลใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ กลัวจะถูกดำเนินคดี ภรรยานอนร้องไห้ทุกคืนจนผอมลง
ด้านภรรยาก็ยกมือไหว้ พูดทั้งน้ำตาว่า ให้เลิกดูถูกพวกตนซึ่งเป็นคนจน ตนได้ไปแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว ขอร้องอย่าว่าพวกตนเอาแหวนเพชรไป ตนไม่เห็นแหวนเพชรจริง ๆ ไม่ได้ขโมย ตั้งแต่เกิดเรื่องมา 1 สัปดาห์ ก็รู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าจะยากจนก็ไม่คิดจะเอาของคนอื่นเลย
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่บริเวณถังขยะที่เกิดเหตุ พบว่ากล้องวงจรปิดของเทศบาลนครอุดรธานี ส่องไม่ถึงมุมที่ตั้งถังขยะ แต่มีกล้องหน้ารถยนต์ที่ขับเข้ามาจอดใกล้ถังขยะ จึงส่องเห็นสองตายายมาเก็บของเก่าในถังขยะพอดี ทำให้ตำรวจทราบเบาะแส
ส่วนลูกชายเจ้าของร้าน เล่าผ่านทางโทรศัพท์ว่า แม่ถอดแหวนเพชร ต่างหู ห่อกระดาษทิชชูไว้ในห้องน้ำ พ่อนึกว่าเป็นกระดาษธรรมดา จึงได้หยิบเอาไปใส่ถุงขยะ มัดปากถุงแล้วนำไปทิ้งถังขยะ พอแม่นึกได้จึงไปดูที่ถังขยะ ก็พบว่าถุงขยะถูกเปิดแล้ว กระดาษทิชชูถูกแกะออก จึงมาไล่เปิดวงจรปิดดูย้อนหลังตั้งแต่ 12.00-16.30 น. ก็เห็นตากับยายขี่สามล้อเครื่องมาเก็บของเก่าเท่านั้น ไม่มีคนอื่นอีกเลย จึงได้ไปตามหาและเชิญตัวมาสอบถามที่โรงพัก ไม่ได้กล่าวหา แค่สืบตามกล้อง และไม่พบหลักฐาน ไม่มีของกลาง แล้วจะไปแจ้งข้อหากับใคร เพียงแต่ไปลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นเอง