บ่าวสาวป้ายแดง คบ 2 ปี แต่ง 5 วันเลิก! เปิดใจจุดแตกหัก อุทาหรณ์ซองงานแต่ง

บ่าวสาวป้ายแดง คบ 2 ปี แต่ง 5 วันเลิก! เปิดใจจุดแตกหัก อุทาหรณ์ซองงานแต่ง

บ่าวสาวป้ายแดง คบ 2 ปี แต่ง 5 วันเลิก! เปิดใจจุดแตกหัก อุทาหรณ์ซองงานแต่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แต่งงาน 5 วันเลิก ทะเลาะกันต่อเรื่องคืนสินสอด เปิดใจสองฝ่ายถึงจุดแตกหัก อุทาหรณ์ซองงานแต่ง-เงินจัดงาน 

(23 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่โลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจเรื่องเจ้าบ่าวหนุ่มราชบุรี ได้ออกมาโพต์ภาพงานแต่งและข้อความว่า “มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่มาบอกว่ารักกัน แต่งงานกันไม่ถึง 4-5 วัน จะขอเลิก บอกว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้าเลิก เราก็อยากจะได้สินสอดเราคืน สินสอด 2 แสน ทอง 2 บาท มันไม่น้อยเลย บอกจะคืนให้เรา 5 หมื่นบาท แต่เราขอทอง 2 บาทของเราคืนด้วย เค้าก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นของเขาแล้ว ก็ให้เราไปฟ้องศาลเอาเองถ้าอยากจะได้ บอกว่าทางเค้าเสียหาย แล้วแบบนี้จะเรียกว่ารักหรือ แค่เรื่องทะเลาะกันก็มาขอเลิก ค่าใช้จ่ายในงานเราก็ช่วยทุกอย่างเพราะเรารัก เงินทุกบาท เราทำงานตั้งใจเก็บเงินเพื่อจะมาแต่ง กว่าจะหามาได้ เอาไปแบบนี้มันง่ายเกินไปมั้ย ถ้าเรื่องกฎหมายเราอาจจะไม่รู้เยอะ แต่ทำกันแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร"

เปิดใจฝ่ายเจ้าบ่าว

ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่บ้านของเจ้าบ่าว คือ คุณนัท อยู่ที่ ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วต้นตอก็มาจากเรื่องเงินเป็นส่วนใหญ่ ที่มีปัญหาเราได้ทะเลาะกัน เป็นเรื่องของค่าใช้จ่ายในงาน เรื่องค่าใช้จ่ายผมได้คุยกับทางฝ่ายเจ้าสาวว่าจะจ่ายอะไรกันยังใง คือคุยกันหมดแล้ว แต่ทีนี้ไม่รู้ว่าผู้หญิงเขาไปคุยกับแม่เขายังใงก็เลยมีประเด็นมา ที่เป็นประเด็นมาคือทางฝ่ายเจ้าสาวจะให้ตนเองช่วยเรื่องโต๊ะจีนเพราะแขกทางผมเยอะ ผมก็ได้พูดกับทางเจ้าสาวว่า ก่อนที่จะเริ่มงาน ได้เงินรับไหว้มาแล้ว ได้เงินค่าซองมาแล้วเอาซองไปช่วยแม่จ่ายโต๊ะจีน แต่ว่าเราไม่ได้คุยกันว่าเราจะช่วยเท่าไหร่ เพราะว่าโต๊ะจีนมี 30 โต๊ะ เป็นเงิน 40,000 บาท ก็มีเรื่องกันในงานคุยกันไม่ลงตัว พอเขาคุยตกลงกันแล้วเขาจะให้ผมช่วยค่าโต๊ะ 20,000 บาท แต่ทีนี้เรื่องซองจะอยู่ที่ทางแม่ส่วนหนึ่ง และอยู่ที่แม่ผู้หญิงส่วนหนึ่ง ซึ่งเรายังไม่ได้แกะหรือว่าไม่ได้นับซอง ก็เลยบอกให้ทางเจ้าสาวสำรองจ่ายโต๊ะจีนไปก่อนได้ไหม อีกครึ่งหนึ่งผมจะนำค่าซองไปจ่ายให้ ก็คุยจบเรื่องโต๊ะจีนไปแล้ว

ส่วนค่าใช้จ่ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ไม่ใช่ค่าโต๊ะจีนอย่างเดียว ยังมีค่าออแกไนซ์แค่าถ่ายรูป ค่าช่างภาพ ซึ่งผมบอกเขาแล้วว่าผมเป็นคนรับผิดชอบในการจ่ายค่าช่างภาพ ส่วนเรื่องออแกไนซ์ผมจ่ายค่ามัดจำไปส่วนที่เหลือยังไม่ได้จ่าย คงเหลือประมาณ 13,900 บาท ก็เลยให้ทางเจ้าสาวคุยกับทางแม่ว่าเงิน 20,000 บาท ที่ให้ช่วยจ่ายค่าโต๊ะจีนให้เราเอาไปจ่ายค่าออแกไนซ์เลยนะ และจ่ายค่าช่างแต่งหน้าอีก 5,900 บาท ก็ประมาณ 20,000 เหมือนกันก็คือจบไปเรื่องนี้

จากนั้นก็เข้าหอ เพราะว่าเราแต่งงานก็ต้องเข้าหอ ซึ่งทางเจ้าสาวต้องมาเข้าหอที่บ้านผม ซึ่งผมได้เตรียมห้องไว้เรียบร้อย ส่วนเรื่องเครื่องเรือนผมก็เป็นคนจัดแจง มีแต่ให้เขาซื้อผ้าปูที่นอน ซึ่งผมเป็นคนโอนเงินไปให้เขาซื้อก็เหมือนผมเป็นคนจ่าย หลังจากที่เข้าหอแล้ว 3 วัน ซึ่งเป็นไปตามประเพณีผมก็ให้เขากลับบ้านไปทำงานถึงสิ้นเดือน เพราะก่อนหน้านี้คุยกันแล้วว่าเมื่อแต่งเสร็จต้องไปทำงานอยู่เพื่อให้ถึงสิ้นเดือนถึงค่อยกลับมารับ พอผมส่งภรรยาเสร็จก็ขับรถกลับบ้าน กลับมาถึงบ้านเขาก็สอบถามมาเรื่องซองที่อยู่กับแม่เขา คือผมไม่รู้เลยว่าแม่ทางฝ่ายภรรยาแกะซองออกไปทั้งหมดแล้ว รวมถึงซองของญาติเราด้วย และซองของเขายอดเงินเท่าไหร่ เห็นแต่ทางญาติของผมมีแค่หมื่นกว่าบาท แต่ส่วนซองทางญาติฝ่ายภรรยาไม่รู้ยอดเลย เขาแค่พูดว่า 17,000 บาท แต่ภรรยาเป็นคนเก็บไว้ ไม่ได้ให้รวมกันเหมือนที่ว่า ซองอยู่ที่แม่ของผม แม่ยังยกให้หมดเลย

จริงๆ ซองเป็นเหมือนส่วนรวมระหว่างเราสองคน เพื่อเอาไปจัดแจงค่าใช้จ่ายที่เหลืออยู่ แต่ทางฝ่ายหญิงก็ยังชวนทะเลาะ เพราะว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งที่ทางฝ่ายหญิงจะต้องจ่ายคนละครึ่งกับทางตนเอง แต่มันเป็นส่วนที่เขาต้องจ่าย แล้วทีนี้ตนจ่ายไปในส่วนของตนไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เหลือของทางเขาอีกครึ่งที่ต้องจ่ายแต่เขามีไม่พอเขาจึงยืมเงินผมไป ให้ผมช่วยออกก่อนครึ่งหนึ่ง

ทีนี้พอเคลียร์ค่าใช้จ่ายว่าไอ้เงิน 3,500 บาท จะเอายังไง เรื่องรูปเนี่ย ทางภรรยาก็พูดประชด ว่าจะเอาเงินสินสอดคืนเลยไหม “ไม่ติดนะ ได้นะ” ผมก็เลยพูดไปว่า “ทำไมพูดอย่างนี้หละ” เราเพิ่งแต่งกัน ผมก็ว่าไปว่า “จะเลิกหรอ” เขาก็ตอบมาว่า “เลิกได้นะ” เรารับได้หรือเปล่า มันก็มีประเด็นมาเรื่อยๆ ผมก็เลยถามไปว่าถ้าจะเลิกคืนสินสอดเธอรับไหวไหม เขาก็พิมพ์มาในแชทว่า แม่บอกสินสอดคืนได้นะ ผมก็ยังไม่ได้อะไรเพราะตอนนั้นยังรักกันอยู่ยังไม่ได้มีปัญหากัน แค่ว่าทะเลาะกันปกติ ที่ผ่านมาคบกันก็ทะเลาะกันตลอดมันคือเรื่องปกติแล้ว

คืนนั้นผมก็เลยโทรคุยกับทางแม่ของเจ้าสาว และคุยกับทางเจ้าสาวด้วยว่า ตกลงมันยังไง “ลูกแม่บอกว่าสินสอดจะคืนก็ได้นะ แต่เขาขออยู่บ้านดีกว่าพูดประมาณเหมือนว่าไม่อยากกลับมาแล้ว ขออยู่บ้านดีกว่า สบายใจกว่า ทำงานเก็บเงินดีกว่า อยู่บ้านเราไม่มีแดก” ตนก็ฉุกคิดว่าทำไมเขาพูดแบบนี้หละ เพราะว่าทางบ้านผมไม่ได้กดดันอะไร เพราะมีฐานะหน้าที่การงานรองรับให้เขาได้ ถึงเขาไม่อยากที่จะทำงานที่ทางบ้านผมทำ แต่เขาก็ยังมีอาชีพพนักงานร้านกาแฟที่เขาทำ แต่ว่าขอให้อยู่สาขาใกล้ๆ เพราะถ้าเขาทำสาขาใกล้ก็ยังอยู่ด้วยกัน “ชีวิตคู่ถ้ามันแยกทางกันมันจะมีปัญหากัน ขนาดเราอยู่ด้วยกันยังมีปัญหากันเลย” มันก็เลยเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาเรื่อยๆ แบบนี้ครับ 

ก่อนหน้าที่ผมจะโพสต์เรื่องราวบนหน้าเฟซบุ๊ก ทางฝ่ายผู้หญิงเขามาว่าผมเสียๆ หายๆ เรื่องบางเรื่องก็ยังทะเลาะกันอยู่ จนเขาบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก” พอเขาพิมพ์มาเท่านั้นแหละ ซักพักเหมือนเขาทักไปบอกพี่เขา ว่าคืนเงินให้เขาไปเถอะ เหมือนประมาณว่าอยากเลิกแล้วคืนเงิน คืนสินสอดให้เขาไปเถอะ จากนั้นพี่ชายเขาก็โทรมาหาผมจนเป็นเรื่องเป็นราวมีปากเสียงกันจนต้องไปโรงพักเมื่อวานนี้ (21 มี.ค.67) ผมก็เลยไปเคลียร์กันเลยว่าทางเจ้าสาวจะเอายังไง จะกลับมาอยู่ด้วยกันไหม หรือว่าจะเอายังใง เขาก็บอกว่าถ้ามีปากมีเสียงกันอย่างนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ก็เหมือนว่าเขาอยากจะเลิกกับเรา ผมก็เลยอยากจะได้สินสอดคืน

ตำรวจก็ไกล่เกลี่ยว่า จะเอายังไงสินสอดจะคืนเขาไหม เขาก็บอกว่าไม่คืนซักบาท ตำรวจก็เลยบอกว่าซัก 50,000 บาทก็ยังดี เขาก็ไม่คืน แม่ผมก็ไปช่วยไกล่เกลี่ยซึ่งเราจะเลิกกันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ไม่มีมือที่ 3  สินสอดนี้ก็ควรที่จะคืนให้ซักครึ่งก็ยังดี เพราะว่าสินสอดเราก็หามาอย่างอยากลำบากกว่าจะได้ และสินสอดไม่ใช่น้อยๆ 2 แสน กับทองอีก 2 บาท มันก็เยอะพอสมควร ก็เลยคุยกันไม่รู้เรื่องเขาก็จะให้ผมไปฟ้องศาลเอา ซึ่งผมก็พอจะรู้บ้างว่าถ้าขึ้นศาลถ้าผู้หญิงไม่ใช่ฝ่ายผิดผมก็จะฟ้องไม่ชนะ หรือไม่ได้เลย และแถมว่าเสียเวลาด้วย ผมก็เลยคุยกับแม่ว่า “ช่างมันเถอะ”

แต่ทีนี้ทางฝ่ายเจ้าสาวก็ทักมาหาผมหลังจากที่กลับจากโรงพักแล้ว เขาบอกว่าจะคืนให้ผม 50,000 บาท ขอเลขบัญชีหน่อย ซึ่งคบกับเขามานาน เลขบัญชีเขาก็มี ถ้าคนเขาจะคืนจริงๆ ไม่ต้องขอเลขบัญชีหรอก แล้วเงินค่าซองที่เป็นส่วนรวมเขาจะขอค่าซองทางญาติเขาคืนแล้วเขาจะคืนเงิน 5 หมื่นบาทให้ถ้าผมโอนเงินซองคืนเขาไป แต่เงินซองยังทันไม่ได้นับ รู้คร่าวๆ ว่า 13,000 บาท ประมาณนี้

ก่อนหน้านี้ผมคบกับเจ้าสาวมาตั้งแต่ปี 2564 รวมๆ แล้วประมาณ 2 ปีเศษปีนี้เข้าปีที่ 3 เจอเจ้าสาวทางเฟซบุ๊กก็ทักคุยกัน ไปหากัน ผมก็ไปช่วยเขาขายของ เพราะตอนนั้นเขาค้าขายกับแม่เขาอยู่ ยังไม่ได้ทำร้านกาแฟ คบหาดูใจกัน ยอมรับทะเลาะกันบ่อย แบบเลิกกันก็กลับมาคบกัน ผมก็เป็นผู้ชายที่ขี้หึงเป็นเรื่องธรรมดา จนเวลาผ่านไปทั้งสองฝ่ายก็ตกลงแต่งงานกันและให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ สินสอด 2 แสน ทอง 2 บาท และ ไปดูเลิกงานแต่ง จนได้ฤกษ์แต่งเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่วนวันที่แตกหักกันจริงๆ คือเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา เขาอยากจะเลิกเพราะเขาคิดว่าอยู่กับผมไม่ได้แล้ว เขาก็ทักไปหาพี่สาว พี่ชายเขา บอกว่าคืนสินสอดเขาไป เขาอยากจะเลิก จนพี่ชายเขาโทรมาหาว่าสินสอดคืนไม่ได้นะ ฝ่ายเขาเสียหาย

ถามว่าตอนนี้ตนยังมีความรู้สึกความรักกับทางเจ้าสาวหรือไม่ คนมันรักกันมา มันก็หลงเหลือ แต่ถ้าให้มาอยู่ด้วยกันมันไปกันต่อไม่ได้แล้ว เพราะว่ามันเกินที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว จากนี้ไปถ้าเขายอมในสิ่งที่ตนเองขอไปตนก็ยอมจบกันดีๆ อยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ได้มีชู้สาว ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย แค่ทะเลาะกัน แต่สิ่งที่ตนเองขอมันเป็นความเห็นใจ เพราะว่าเขาก็ไม่ได้ผิด ตนก็ไม่ได้ผิด แต่ที่เราขอแค่นี้เพราะทางฝ่ายเขาเป็นฝ่ายหญิงเขาก็เสียหาย ทั้งนี้เรายังมีค่าใช้จ่ายในงานทั้งฝ่ายที่เราจ่ายไปแล้ว ตนก็ขอให้ส่วนที่สมควรจะได้ ส่วนสินสอดที่เขาได้ก็มากพอสมควร เพราะเขาเป็นฝ่ายหญิงเขาเสียหายเขาก็สมควรที่จะได้

สิ่งที่ตนเองร้องขอตอนนี้คือความเห็นใจที่ตนสมควรจะได้ไหม เพราะว่าเรื่องเงินตนไม่ได้เสนอเขานะ เพราะเขาเสนอมาว่าจะโอนมาให้ 50,000 บาท ตนก็เลยบอกว่าไม่ได้นะ ตนจะขอทอง 2 บาทของตนด้วย ถ้าได้ 2 อย่างนี้ก็จะสมน้ำสมเนื้อกัน เหมือนสินสอดแบ่งครึ่งกันไปเลย ถ้าเขาไม่ให้ก็ต้องถามหาความเห็นใจแล้วครับเพราะกฎหมายอาจจะเข้าข้างผู้หญิงมากกว่า แต่ว่าตนอยากได้ความยุติธรรมมากกว่า ความเป็นมนุษย์ของคน ความเห็นใจทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทะเลาะกัน เธอจะเอาสินสอดไปหมดเลยหรอ ได้พูดคุยเรื่องสินสอด พูดคุยเรื่องการจัดงาน ยอมรับว่าตอนพูดคุย ไม่ได้มีการสื่อสารกันให้ชัดเจน เรื่องเงินค่าซอง และเรื่องรูปแบบงาน และไม่รู้ว่าจะต้องออกค่าใช้จ่ายเรื่องการจัดงานด้วย

เปิดใจฝ่ายเจ้าสาว

ล่าสุดทีมข่าวได้ไปเจอเจ้าสาว คือ คุณบีม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ที่บ้าน พร้อมทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ที่บ้านพักในตำบลดอนตะโก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ทางคุณบีมซึ่งเป็นเจ้าสาว บอกว่า ขอสังคมให้ฟังทางฝั่งหนูบ้าง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เลิกกับทางเจ้าบ่าว แต่เพียงไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตด้วยกันได้เนื่องจากสิ่งที่เขาทำให้หนูและครอบครัวเกิดความอับอายจากงานแต่งที่ผ่านมา อีกทั้งเขายังเอารูปและโพสต์ข้อความในส่วนแต่ฝ่ายเจ้าบ่าว ทำให้รถทัวร์มาลงที่หน้าบ้าน คนที่เขาไม่เข้าใจก็มาด่าว่าหนูในทางเสียหาย

ในส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าหนูเชิดสินสอดหนีมานั้น หนูก็ตอบยืนยันว่า ยังไม่ได้เลิกกัน ประเด็นที่ทะเลาะกันหลายเรื่อง เอาง่ายๆ ฝ่ายชายเขาถามหนูว่า "เงิน 3,500 ค่ารูปที่ต้องเคลียร์ให้แม่ แม่บีมจะเอายังใง บีมก็ถามไปว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแม่บีม ในเมื่อเงินซองเงินรับไหว้ทุกอย่างอยู่ที่เจ้าบ่าวหมดเลย ทำไมถึงไม่แบ่งให้แม่ไป หรือ ทางเจ้าบ่าวจะทวงว่า เงินในซองที่ให้บีมติดตัวมาแค่ 4,000 บาท จะต้องคืนให้แม่พี่หรือยังใง ทำไม่เงินกองที่เหลืออยู่ทำไมเจ้าบ่าวไม่แบ่งให้แม่พี่ไป”

เขาก็เลยบอกมาว่า แค่ถามดูเฉยๆ แล้วมาถามเฉยๆ ทำไมต้องมาบอกว่าแล้วแม่บีมจะเอายังไง ทั้งที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับทางแม่หนูแล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนี้ทางเจ้าบ่าวจะให้ชีวิตอยู่กันได้ไหม แค่เรื่องเงินแค่นี้ยังมีปัญหาเลย จริงๆ เงินส่วนนั้นจะแบ่งไปก็แบ่งไปได้ ทีเรื่องอื่นไม่เห็นบอกอะไรเลย หนูก็เลยบอกกับทางเจ้าบ่าวไปว่า เอาอย่างนี้เงินหนูคืนให้เลย 4,000 บาทที่ให้มา เอาไปให้แม่เขาเลย หนูขอใช้ชีวิตอยู่กับที่บ้านซักพักหนึ่งขอทำงานที่ร้านกาแฟถึงสิ้นเดือน ก็เลยขออยู่ซักพักเลยได้ไหม เพราะตัวเองก็มีหนี้จึงไม่อยากเอาหนี้ไปผูกกับทางเจ้าบ่าว คือแต่งงานกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ไหมคนเราอ่ะ ถ้าคนเรารักกันจริงอยู่ที่ไหนมันก็รัก

แต่นี่เขาทำนองแบบว่า “มึงแต่งงานกับกูแล้วมึงต้องอยู่กับกู มึงต้องไปทำไร่กับกู" หนูก็ถามว่า ถ้าเจ้าบ่าวมาอยู่กับหนูที่บ้านไม่ได้เหรอ ทำงานที่นี่ไม่ได้เหรอ เขาก็บอกเงินเดือนมันพอไหม หนูก็บอกไปว่างานมันมีหลายหน้าที่ ถ้าทางเจ้าบ่าวคิดจะทำมันก็พอ แล้วถามไปว่าถ้าหนูไปอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าวมันจะไหวไหม หนี้สินตัวเองก็มี เขาก็บอกว่ายังไงก็พออยู่แล้ว เก็บผักก็ได้เยอะอยู่แล้ว หนูก็เลยบอกเจ้าบ่าวไปว่า แค่เงินแค่นี้ยังมีปัญหาเลย แล้วถ้าใช้ชีวิตต่อไปนานๆ มันจะไม่มีปัญหาจริงเหรอ เขาก็เงียบ หนูก็เลยบอกไปว่าถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ หนูขอเจ้าบ่าวว่า ขออยู่บ้านตัวเองซักพักดีกว่า เผลอๆ อยากจะอยู่บ้านทำงานที่นี่เพื่อปิดหนี้ก้อนนี้ให้หมดไปเลยดีกว่า ปิดรถตัวเองให้ได้ก่อนถึงจะไปอยู่กับเขา มันจะดีกว่ามันจะสบายใจ อย่างน้อยเราก็ทำด้วยตัวของเราเอง เขาก็ไม่เข้าใจ

ในประเด็นเรื่องการแต่งงานเราตกลงยินยอมกันทั้งสองฝ่ายใช่ไหม แต่เขาไปลงอีกข่าวว่าทางเจ้าสาวบังคับตั้งแต่ปี 64 แล้วปี 64 เพิ่งได้คบกัน ทำไมเขาถึงไปลงข่าวอะไรแบบนั้น ว่าทางแม่เจ้าสาวไปเร่งทางฝ่ายเขา จริงๆ หนูจะไปทำงานที่กรุงเทพ ก็บอกกับทางเจ้าบ่าวไป และก็ว่าหนูไม่คิดที่จะมีคนอื่นอยู่แล้ว คนเราไปทำงานไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก แต่ทางเจ้าบ่าวก็ตามไป หนูก็บอกไปว่าจะตามไปได้ยังเราไม่เคยมีถึงขั้นอยู่ด้วยกันมาก่อน หนูไม่เคยทำตัวอะไรอย่างนั้นเลย แต่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็บอกว่า “ถ้าเอ็งมีคนอื่นล่ะจะทำยังไง” หนูก็บอกเจ้าบ่าวไปว่าหนูไปอยู่กับพี่สาวแท้ๆ คืออยู่หอเดียวกัน

สุดท้ายเขาก็เป็นคนพูดเองว่า “ให้เขาหมั้นก่อนไหม” แต่แม่หนูบอกว่า “ไม่ให้หมั้น” คือ แต่งก็คือแต่งไม่ให้หมั้น เพราะถ้าหมั้นไปไม่ได้แต่งจะทำไง หนูก็เลยบอกว่ามันไร้สาระ ทางเจ้าบ่าวก็เลยตามไปอยู่กรุงเทพได้ 3-4 เดือน จนเจ้าบ่าวกลับมาอยู่ที่บ้าน ส่วนหนูก็อยู่ทำงานได้ 1-2 ปี ก็กลับมาอยู่บ้าน มาขายของ คบกับทางเจ้าบ่าวมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งแม่ของเจ้าบ่าวพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวจะไปขอ” ทั้งๆ ที่หนูไม่ได้เร่งนะ ก็บอกไปว่าถ้าจะแต่งกันหนูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะถือว่าเราคบกันมานานแล้ว ไปขอซักพักหนูก็ขอเลื่อนมาอีกถึงปี 67 พอจะแต่งปุ๊บ แม่ของเจ้าบ่าวบอกว่าเดี๋ยวแม่เข้ามาคุยกับทางแม่เจ้าสาวเรื่องการสู่ขอนะ ในระยะเวลาแค่ 3 เดือนในการเตรียมงาน หนูก็คุยกับแม่ว่า “ทำยังไงดีเขาจะเข้ามาสู่ขอแล้ว” หนูก็คิดว่าจัดงานทัน ไปถ่ายพรีเวดดิ้ง ทำอะไรก็ได้ให้เร็วที่สุด เพราะแต่งงานต้องใช้เวลากันเป็นปีในการเตรียมงาน ต้องเตรียมหลายอย่าง และดูฤกษ์แต่งอีก จนกระทั่งเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย

พอถึงวันงาน หนูก็ยอมรับว่าไม่ได้เตรียมครบทุกอย่าง เช่นนายพิธี ก็ยอมรับว่าไม่มี ทีนี้ก็ตกลงกับทางเจ้าบ่าวว่า ค่าโต๊ะเราจะจ่ายกันคนละครึ่งเราจะเอาเงินค่าซองช่วย ทางเจ้าบ่าวก็บอกว่าโอเคได้ ขาดเหลืออะไรเดี๋ยวให้ทางหนูช่วยไป ทีนี้พอถึงเวลาใกล้จบงาน แม่เจ้าบ่าวพูดขึ้นมาว่า “แม่เจ้าสาวเอาเงินสินสอดควักจ่ายไปก่อนนะ เงินซองทางนี้ยังแกะไม่ได้รอให้ครบ 3 วัน” พอพูดคำนี้จบทุกคนยังไม่ได้พูดอะไรแม่เจ้าบ่าวหอบซองใส่กระเป๋ากลับบ้านไปเลย หอบกลับไปกันหมดเลย แล้วญาติเขาที่นั่งกันอยู่ในเมื่อเขาขอตนเองว่า ขอแค่ 20 โต๊ะ แต่ความเป็นจริงแล้วเหลือให้ญาติฝั่งเจ้าสาวไม่ถึง 5 โต๊ะ จาก 30 โต๊ะที่หามา วินาทีนั้นยอมรับว่าอายเลย 

อีกประเด็นเรื่องโต๊ะจีนในการ์ดระบุออก 11 โมง แต่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวไปเร่งตั้งแต่ยังไม่ 10 โมง โต๊ะจีนเมื่อไหร่จะออก ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “อีก 1 ชั่วโมงก็ออกมั้ง คือประชด” ทางฝ่ายเจ้าก็บอกว่าไม่ได้ต้องรอ 11 โมงเพื่อรอญาติทางฝ่ายเจ้าสาวด้วย แต่ปรากฎว่าประมาณ 10.30 น. ไม่รู้อีท่าไหนโต๊ะจีนออกหมดเลย ทางญาติเจ้าสาวมา 11 โมง โต๊ะจีนไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทีนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรคือเสียหน้ามาก คือคนที่กำลังเดินเข้ามานั่งกินโต๊ะจีน จัดงานอะไร

แล้วทางเจ้าบ่าวพูดกับหนูว่า “มึงรู้ไหมกูอับอายแค่ไหนที่ทางญาติมึงทำกับกูแบบนี้” หนูก็ร้อง “ฮะ” คนที่ต้องพูดมันคือหนู ที่อับอายมากกว่า เพราะทางฝ่ายเจ้าบ่าวพาคนมาล้มโต๊ะจีนฝั่งหนู แล้วที่น่าเกลียดมากตรงที่แม่เขาบอกว่ายกซองให้ลูกชายและฝ่ายเจ้าสาว แต่เขากลับหอบซองกลับไปหมดเลย มีรับหน้าแค่พ่อเจ้าบ่าว กับ ตัวเจ้าบ่าว อยู่ 2 คน หนูก็ถามกับทางเจ้าบ่าวว่า ทำไมแม่พี่ถึงทำกันแบบนี้ ไหนตกลงซองต้องเป็นของฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว มันไม่มีใครหรอกที่จะมาแกะสินสอดแล้วมาจ่ายคนอื่นเขา มันถือเคล็ดยังไง ในเมื่อทางเจ้าบ่าวถือเคล็ดแบบนั้น ทางฝ่ายเจ้าสาวถือเคล็ดไม่ได้หรือยังไง แล้วแบบนี้ใครจะจ่าย หนูก็บอกกลับไปแล้วใครจะจ่าย เพราะหนูก็บอกแล้วว่าจะเอาเงินจากซองช่วยจ่าย ทางแม่พี่เก็บไปทำไม รวมๆ แล้วเงินค่าจัดงานแต่งประมาณ 1 แสนได้ ในการตกลงค่าใช้จ่าย โต๊ะจีนตกลงกันที่เอาเงินจากซองเงินช่วยจ่าย นอกนั้น ออกกันคนละครึ่ง หนูก็บอกไปว่าถ้าค่าโต๊ะจีนเงินจากซองไม่พอให้ทางแม่เจ้าสาวช่วยก็ได้ ส่วนค่าสินสอดทางเจ้าสาวได้ 2 แสน ทอง 2 บาท

ส่วนวันจุดแตกหักที่ตัดสินใจเลิกเลยคือวันที่หนูกลับมาอยู่บ้านวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา คือหนูไม่ได้กลับมาอยู่เลย บอกกับทางเจ้าบ่าวว่ากลับมาอยู่ถึงสิ้นเดือนนี้เพื่อทำงานที่ร้านกาแฟให้ครบ ประเด็นคือเขาต้องการให้เราไปอยู่กับเขาด้วยให้ไปทำไร่ ซึ่งหนูก็บอกว่าทำได้ไม่มีปัญหาและตกลงกับทางเจ้าบ่าวเป็นอย่างดีว่าให้มาส่งที่บ้านและสิ้นเดือนให้มารับ ซึ่งไม่มีปัญหากันเลย แต่มีประเด็นอีกเรื่องคือ ว่าทางเจ้าบ่าวเอาเรื่องไปโพสต์และมาบอกหนูว่า “คนนี้ดีกว่า คนนั้นดีกว่า” เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูด “มึงรู้ไหมแฟนเก่าก็มางานนะ” คือ มันเจ็บตรงนี้ หนูก็ถามไปว่าเอามาพูดทำไมในเมื่อคิดจะแต่งงานกันแล้ว เขาก็บอกกับเราอีกว่า “แล้วมึงไม่รู้หรือว่ามันมา” หนูก็ตอบไปว่า “แล้วใครจะไปรู้หละ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบนั้น” ทีนี้ก็ทะเลาะกันมาเลย และก็มีเรื่องเงินด้วยรวมๆ แล้วปัญหาหลายอย่าง หนูก็เลยบอกกับเจ้าบ่าวไปว่า จบกันไหมถ้าในเมื่อมันไปต่อกันไม่ได้แล้ว หนูก็ยังบอกกับเจ้าบ่าวเลยว่าถ้าสิ้นเดือนไม่กลับไป หนูยินดีคืนสินสอดให้เลย หนูไม่เอา

ทีนี้เรื่องเลยกลับกันเลย เจ้าบ่าวคิดไปว่าในเมื่อจบกันแล้ว สินสอดของทางเจ้าบ่าวล่ะอยู่ครบไหมจะคืนยังใง หนูก็ตอบเจ้าบ่าวไปว่า ไม่ได้จบแบบนั้นนะ หนูกับเจ้าบ่าวยังไม่ได้เลิกกันนะ คือมันไม่ได้จบแบบนั้น คือจบกันที่หนูกับพี่ยังไม่ได้เลิกกันนะ พี่ต้องเข้าใจคำว่าการประชดอะไร พี่คบกับหนูมาก็น่าจะรู้ใช่ไหม เจ้าบ่าวก็ยังตอบมาว่า แล้วยังใง “ถ้าอยากคืนก็คืนได้ครับไม่มีปัญหา กูไม่ติดอยู่แล้ว”

หนูก็มาทบทวนดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ได้แคร์หนูเลย บางทีการประชดของหนู อยากรู้ว่าเขาจะพูดอย่างไรในเมื่อหนูนำร่องไปขนาดนี้ เขาบอก “ไม่ติดครับ” จะคืนก็คืนในเมื่อไม่ได้รักกันแล้ว . ส่วนที่ไป สภ.ไปในเรื่องให้ตำรวจรู้ว่าเราจะคืนสินสอด ตกลงจะคืนกันยังใง สรุปหนูตอบไปหน้าตำรวจเลยว่าไม่คืน มันคืนไม่ได้ ในเมื่อเขาให้ตนแล้วเป็นสินสมรสแต่งกัน จริงๆ ต้องเป็นฝ่ายของหนูที่ได้จริงไหม หนูบอกว่าไม่คืน เขาก็บอกว่าทำไมไม่คืน จริงๆ หนูเสียหายนะแค่ไปอยู่ด้วยกันคืนเดียวก็เสียหายแล้ว หนูก็ไม่ได้ที่จะอยากได้หรอกนะเงิน เขาบอกว่าในเมื่อหนูจะคืนทำไมถึงไม่คืน หนูก็โมโหเลยบอกไปว่าให้ได้แค่ 5 หมื่นพูดแค่นี้ แต่มึงกับกูต้องจบกันนะ ห้ามมาระราน ห้ามมาแบบยุ่งอีกเลยนะ ตอนแรกเขาบอกไม่เอา หนูก็บอกไม่เป็นไรส่งเลขบัญชีมาเลยเดี๋ยวโอนให้เลย 5 หมื่น แต่ต้องจบนะ เขาก็บอกว่า “มึงเก็บไว้ดูแลพ่อแม่มึงเถอะ” ไปๆ มาๆ กลับมาอีกมาบอกเลขบัญชีในแอปก็มีไม่โอนมาล่ะ เขาพูดกลับไปกลับมา ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้

สุดท้ายเข้าก็เอาเราไปโพสต์ หนูก็เอาเลยในเมื่อเจ้าบ่าวเล่นกันแบบนี้เอง คุยดีๆ ก็ได้ ตอนนี้ถ้าถามจะกลับมาคบกันมันเป็นไปไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะเขาเล่นแรงกับหนูแบบนี้ก่อน บอกตรงๆ เลยตอนนี้ตนไม่มีความรู้สึกดีๆ หลงเหลืออยู่เลย ไม่รักแล้ว เขาทำให้หนูเกลียดครอบครัวเขาไปเลยหนูพูดตรงๆ  เอาง่ายๆ นะ ความคิดเขาตรงๆ เจ้าบ่าวไม่ใช่คนแบบนี้ ที่หนูคบมา เขาเหมือนต้องให้คนคอยจูงจมูกเขาตลอด จริงๆ เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกอะไรขนาดนี้

จากนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป เนื่องจากทางฝ่ายผู้ชายมีการโพสต์รูปโดยที่ไม่ปกปิดใบหน้า ทั้งหนูและคุณพ่อคุณแม่สร้างความเสื่อมเสีย สร้างความเสียหายให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้ง สังคมก็ได้ประณาม รถทัวร์มาลงหน้าบ้าน ทำให้อับอายเป็นอย่างมาก ตรงนี้หนูต้องขอให้เป็นไปตามกฎหมาย ยืนยันว่า จะไม่กลับไปใช้ชีวิตคู่กับเจ้าบ่าวอีกแล้ว และหนูไม่ได้เป็นมิจฉาชีพที่ถูกกล่าวอ้าง ไม่ได้จัดงานแต่งและเชิดสินสอดตามที่เป็นข่าว 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook