ผู้ค้าชี้หากน้ำมันโลกลงต่อเนื่องสัปดาห์หน้าจะเห็นราคาในไทยลดลง

ผู้ค้าน้ำมันขอดูราคาน้ำมันตลาดโลกต้นสัปดาห์หน้าก่อนตัดสินใจลดราคา ระบุราคาน้ำมันผันผวนหนัก ทำให้การค้าน้ำมันขาดทุน เพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนขึ้นราคาช่วงตลาดโลกขาขึ้น

นายจักกฤช จารุจินดา ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ตลาดขายปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เพียง 2 วัน ลดลง 5-6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถลดราคาน้ำมันได้ทันที โดยเฉพาะค่าการตลาดน้ำมันดีเซลยังต่ำกว่าเกณฑ์ แต่หากราคาน้ำมันโลกลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงต้นสัปดาห์หน้า ทาง ปตท.และผู้ค้าอื่น ๆ ก็พร้อมที่จะปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกให้ประชาชนทันที

นายจักกฤช อธิบายว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับสูงขึ้นมาก แต่ผู้ค้าน้ำมันได้ร่วมกันตรึงราคาจนบางช่วงค่าการตลาดเหลือไม่ถึง 80 สตางค์ ดีเซลค่าการตลาดเหลือเพียง 30 สต. จากที่ค่าการตลาดเฉลี่ยควรได้ไม่ต่ำกว่า 1.50-1.70 บาทต่อลิตร โดยช่วงเดือนเมษายน ค่าการตลาดเฉลี่ยเหลือเพียง 90 สตางค์ เท่านั้น และหากดูถึงค่าการตลาดตั้งแต่ต้นปี ปรากฏว่าค่าเฉลี่ยเหลือเพียง 1.30 บาท ทำให้รายได้ของ ปตท. ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเกือบ 400 ล้านบาท นับเป็นส่วนที่ ปตท.เข้าไปร่วมรับภาระนี้แทนประชาชน

"ราคาน้ำมันโลกที่ขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ค้ามีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะช่วงขาขึ้น ราคาไม่ได้ปรับขึ้นทันที เราชะลอการปรับขึ้น แต่หากราคาลดลง เราก็พร้อมลดลงอย่างรวดเร็ว โดยความผันผวนเช่นนี้ก็ยังมีผลต่อสตอกน้ำมันของทั้งธุรกิจโรงกลั่นฯ-ผู้ค้า น้ำมัน ที่จะประสบปัญหาขาดทุนด้วย จึงต้องบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม" นายจักกฤช กล่าว

ทั้งนี้ บมจ.ไทยออยล์ รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบวานนี้ ปรับลดลงรุนแรงทุกตลาด โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือนมิถุนายน ปรับลดลง 2.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดที่ 77.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความความตื่นตระหนกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซ ส่งผลให้ระหว่างวัน ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 998.5 จุด หรือร้อยละ 9.19 สู่ระดับต่ำกว่า 10,000 จุด ก่อนที่จะดีดขึ้นมาปิดเหนือระดับ 10,000 จุด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดระหว่างวัน ที่ 74.58 ดอลลาร์สหรัฐ ตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณของกรีซ จะลุกลามในวงกว้างและฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้นักลงทุนเทขายเงินยูโร รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่น น้ำมัน และหุ้น และหันไปลงทุนในเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือน ที่ 1.263 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร