ศอฉ.แจง ทูต-ตัวแทนกว่า 60ปท. ยันมีคนใน-นอกประเทศวางแผนก่อการร้าย

ศอฉ.แจง ทูต-ตัวแทนกว่า 60ปท. ยันมีคนใน-นอกประเทศวางแผนก่อการร้าย

ศอฉ.แจง ทูต-ตัวแทนกว่า 60ปท. ยันมีคนใน-นอกประเทศวางแผนก่อการร้าย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศอฉ.ชี้แจงทูตและตัวแทนกว่า 60 ประเทศ กรณีการยึดคืนพื้นที่บริเวณราชประสงค์ และนำอาวุธสงครามที่ถูกยึดมาแสดง "สุเทพ" ยัน เร่งจับกุมผู้ที่หลบหนีและผู้ที่มีอาวุธสงครามมาดำเนินคดี ระบุยังมีการตั้งจุดตรวจ เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1688 หากพบกลุ่มก่อการร้าย ขณะที่ "พ.อ.สรรเสริญ" ยืนยัน การวางเพลิง มีการวางแผนเป็นขั้นตอน ยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจาก ศอฉ.ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเสื้อแดงและกลุ่มก่อการร้ายที่ใช้อาวุธสงครามกดดันเจ้าหน้าที่

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พร้อมด้วย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมกันแถลงข่าว วันนี้เกี่ยวกับอาวุธของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ยึดได้จากการเข้ายึดคืนพื้นที่แยกราชประสงค์ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม - 19 พฤษภาคม 2553 โดยมีทูตานุทูต ทูตทหารและตัวแทนกว่า 60 ประเทศ และสื่อมวลชนต่างชาติหลายสำนัก เข้ารับฟังการแถลงข่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ ศอฉ.ยังได้นำอาวุธสงครามที่สามารถยึดได้ เช่น ปืน M 16 ปืน SK ปืนอาก้า ปืนคาร์บิน เครื่องยิงระเบิด M 79 ลูกระเบิด M 79 เครื่องเตรียมระเบิดและอุปกรณ์ประกอบระเบิด ระเบิดขว้าง มาแสดงด้วย

นายสุเทพ แถลงว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ก่อนหน้านี้ยืนยันว่า ไม่มีกลุ่มก่อการร้าย แต่จากอาวุธที่ยึดได้ เป็นอาวุธร้ายแรงและอาวุธสงคราม ทั้งระเบิดขว้าง รวมถึงอุปกรณ์ประกอบระเบิดคาร์บอมบ์ ถือเป็นประจักษ์พยานว่า ผู้ชุมนุมมีการพกอาวุธ โดยอาวุธเหล่านี้จะนำไปเป็นหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

"ขอยืนยันว่า ยังมีอาวุธอีกจำนวนมาก ที่ยังอยู่ในมือคนร้าย รวมถึงผู้ที่หลบหนีไป ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามจับกุมผู้ที่หลบหนี และผู้ที่มีอาวุธร้ายแรง มาดำเนินคดีโดยไม่ละความพยายาม" นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ ได้ขอบคุณเอกอัครราชทูตอิตาลี ประจำประเทศไทย ที่ให้กำลังใจรัฐบาลไทย และขอแสดงความเสียใจ ที่ผู้สื่อข่าวอิตาลีต้องเสียชีวิตจากการทำหน้าที่ เนื่องจากถูกระเบิด M 79 ขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะจับกุมผู้ที่ยิงระเบิด M 79 มาดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการยิงระเบิดดังกล่าว นอกจากจะทำให้ผู้สื่อข่าวเสียชีวิตแล้ว ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ก็เสียชีวิต 1 นาย

นายสุเทพ ยังได้ขอความร่วมมือจากประชาชน หากพบเบาะแสกลุ่มก่อการร้าย ให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จะยังคงมีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อเกิดความอุ่นใจของประชาชน นอกจากนี้ ยังตั้งศูนย์อำนวยการปฏิบัติการยุติธรรม สายด่วน 1688 หากประชาชนพบเบาะแส หรือได้รับความเดือดร้อน สามารถโทรศัพท์สอบถามมาที่สายด่วนดังกล่าวได้

นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า จะเริ่มเข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม และการประชุมคณะรัฐมนตรี วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม ก็จะใช้ทำเนียบรัฐบาล เป็นสถานที่ประชุม ส่วนจะมีการประกาศเคอร์ฟิวต่ออีกหรือไม่จะแจ้งให้ทราบวันพรุ่งนี้ (23 พ.ค.)

จากนั้น พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ชี้แจงเกี่ยวกับการวางเพลิง ในหลายพื้นที่ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า บางส่วนอาจจะเกิดจากความโกรธแค้นของผู้ชุมนุม หรือมีความต้องการเข้าไปลักทรัพย์ แต่ก็เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น ศอฉ.ยืนยันว่า การวางเพลิงที่เกิดขึ้น มีการวางแผนเป็นขั้นตอนอย่างดี ทั้งในและนอกประเทศ ให้กับผู้ปฏิบัติ โดยการก่อเหตุวางเพลิงมีการใช้ระเบิดเพลิง 2 ลักษณะ คือ การใช้ขวดใส่น้ำมัน และมีการใส่ดินระเบิดในขวดน้ำมัน รวมทั้งมีตะปู ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แล้ว ยังเป็นการทำร้ายเจ้าหน้าที่อีกด้วย

ทั้งนี้ พ.อ.สรรเสริญ ได้นำคลิปวิดีโอจำนวน 7 คลิป มาแสดง ซึ่งเป็นการปราศรัยของแกนนำคนเสื้อแดง ที่ระบุถึงการวางเพลิง หากถูกยึดคืนพื้นที่ รวมถึงคลิปที่เกี่ยวกับกองกำลังสนับสนุน ซึ่งเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โดยชายในคลิปวิดีโอใส่เสื้อกันกระสุน และมีคำว่า ARMY เพื่อต้องการให้เกิดการเข้าใจผิดกับเจ้าหน้าที่ทหาร

พ.อ.สรรเสริญ ยังสรุปถึงการใช้ระเบิด M 79 และจรวด RPG ซึ่งมีใช้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวม 40 เหตุการณ์ มีการใช้ยิง 116 นัด ซึ่ง ศอฉ.สามารถตรวจยึดปลอกกระสุน ที่มีการใช้งานไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระเบิดขว้าง 75 ลูก ใน 35 เหตุการณ์ ใช้ปืนสงคราม ไม่ว่าจะเป็น SK, M 16 และปืนพก ซึ่งอาวุธส่วนหนึ่งไม่มีใช้ในกองทัพ ยกเว้นอาวุธที่กลุ่มผู้ชุมนุมยึดไปจากทางราชการ โดยมีการใช้ปืนสงครามก่อเหตุใหญ่ 7 ครั้ง ใช้กระสุนปืนประมาณ 400 นัด โดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว ส่วนการใช้ M 79 ยิงเพื่อให้เกิดความสูญเสีย พบว่า ยิงไปแล้ว 79 ครั้ง

ส่วนยอดสรุปการบาดเจ็บและเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจบาดเจ็บ 411 นาย ประชาชนบาดเจ็บ 991 คน ทหารเสียชีวิต 11 นาย ประชาชนเสียชีวิต 74 ราย

พ.อ.สรรเสริญ ได้ชี้แจง กรณีความจำเป็นที่ทหารต้องใช้กระสุนจริง โดยยืนยันว่า เป็นการยิงลงพื้น ไม่ประสงค์เอาชีวิต ยกเว้นจะยิงไปยังกลุ่มผู้ถืออาวุธสงคราม หรือยิงเพื่อป้องกัน และส่วนใหญ่เป็นการยิงเพื่อข่มขวัญ ส่วนพลแม่นปืน ซึ่งซุ่มอยู่ตามจุดต่าง ๆ ก็จะยิง เมื่อเห็นตัวผู้ก่อการร้ายถืออาวุธสงครามเท่านั้น

"ยอมรับว่าการสูญเสียที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจาก ศอฉ. อีก 3 ส่วนเกิดจากเสื้อแดงและกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่พยายามใช้อาวุธสงครามเข้ากดดันเจ้าหน้าที่" พ.อ.สรรเสริญ กล่าว

ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวถึง กรณีคาร์บอมบ์ ว่า พบใน 4 จุด คือ 1. บริเวณเพลินจิต มีการนำรถตู้คอนเทนเนอร์ ที่มีน้ำยาลักษณะสีขาว เมื่อนำมาผสมกับน้ำมัน และส่วนประกอบอื่นๆ สามารถทำเป็นระเบิดคาร์บอมบ์ได้ จากการตรวจสอบพบว่า ทำแล้วส่วนหนึ่ง 2.บริเวณโรงเรียน โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ซึ่งใช้รถบรรทุก 6 ล้อ บรรทุกถังแก๊ส ที่มีการบรรจุวัตถุระเบิด เตรียมคาร์บอมบ์

3. บริเวณแยกชิดลม มีการใช้รถตู้คอนเทนเนอร์ มีการต่อสายชนวนกับวัตถุระเบิด รวมถึงในวันเกิดเหตุการยึดคืนพื้นที่ วันที่ 19 พฤษภาคม ได้มีความพยายามที่จะเผารถยนต์ เพื่อให้ความร้อน ทำให้เกิดการระเบิด และ 4. พบรถปิกอัพจอดปิดสะพานเฉลิมโลก บริเวณแยกประตูน้ำ พร้อมเตรียมการจุดระเบิดทันที แต่ส่วนใหญ่การจุดระเบิดยังไม่ประสบผล เนื่องจากเจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook