คดีโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ศาลสั่งคุก "บรรยิน" 20 ปี ยกฟ้องแม่-น้องชายอดีตโปรกเกอร์
ศาลอาญาสั่งจำคุก 20 ปี “บรรยิน” ฟอกเงิน จากการโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ยกฟ้องแม่และน้องชาย อดีตโปรกเกอร์สาว ชี้ยังมีเหตุให้สงสัยเรื่องเส้นเงิน
ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ ฟ 48 /2565ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ จำเลยที่ 1 น.ส.ศรีธรา หรือ เพ็ญนิชชา พรหมา จำเลยที่ 2 (มารดาของน.ส.อุรชา) และนายประวีร์ วัชรประยงค์ยุติ หรือ นายชัยพรรณ วชิรกุลฑล จำเลยที่ 3 (น้องชายของ น.ส.อุรชา) ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
จากกรณที่ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาวคนสนิท จำเลยที่ 2 ในคดีฟ.33/2565 ของศาลนี้ให้การรับสารภาพสมคบกันและร่วมกันปลอมเอกสารจำนำหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ได้ลงลายมือชื่อไว้เพื่อจำนำหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน)
โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้น เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา โดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อร่วมกันลักเอาหุ้นนั้นไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต รวม 510,000 หุ้น มูลค่า 35,050,000 บาท และ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตสาวพริตตี้ จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฟ.33/2565 ของศาลนี้ ซึ่งให้การรับสารภาพ ปลอมเอกสารจำนำหุ้นอันเป็นเอกสารสิทธิที่นายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ลงลายมือชื่อไว้
โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้นเป็นการโอนหุ้นบริษัทพลังบริสุทธิ์ (อีเอ EA ) ของนายชูวงษ์ไปให้กับน.ส.กัญฐณา จำนวน 9,500,000 หุ้น คิดเป็นเงิน 228,000,000 บาท แล้วมีการขายหุ้นแล้ว โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า 2 ชื่อบัญชี น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 28,000,000 บาท การกระทำของน.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา
ดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาแล้วปรากฎตามคดีอาญา หมายเลขแดง ที่ อ.636/2563,อ.637/2563 และ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ อันเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ หนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระหรือ เพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (14)
จำเลยทั้งสามกับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ถอนเงิน โอนเงิน อันเป้นการโอนหรือรับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อน หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเป็นการปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน อำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา หรือครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญา เหตุเกิดที่ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงเขต เขตบางกอกน้อย กทม.และอื่นๆ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้
โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เบิกตัว นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2,3 ได้ประกันตัว เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลพิเคราะห์แล้ว พิพากษาว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1)(2)(3) ,60 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ตามป.อาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 2 ปี รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 54 ปี เมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้จำคุกนายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้องกรณีจึงยังมีเหตุอันควรเชื่อว่า จำเลยที่ 2 และ 3 อาจรับดำเนินการให้ น.ส.อุรชา โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ส่วนจำเลยที่ 2 กับ 3 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้ว่าหุ้นและเงินที่ได้จากการขายหุ้น เงินที่รับโอนและโอนไปยังบัญชีธนาคารอื่น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้พิพากษายกฟ้อง