ผู้โดยสาร SQ321 เล่านาทีเครื่องบินตกหลุมอากาศ เผยสิ่งเดียวที่ทำให้ปลอดภัย ไม่บาดเจ็บ

ผู้โดยสาร SQ321 เล่านาทีเครื่องบินตกหลุมอากาศ เผยสิ่งเดียวที่ทำให้ปลอดภัย ไม่บาดเจ็บ

ผู้โดยสาร SQ321 เล่านาทีเครื่องบินตกหลุมอากาศ เผยสิ่งเดียวที่ทำให้ปลอดภัย ไม่บาดเจ็บ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้โดยสาร SQ321 เล่าเอง นาทีเครื่องบินตกหลุมอากาศ เผยสิ่งเดียวที่ทำให้รอดปลอดภัย ไม่บาดเจ็บตรงไหนเลย 

จากกรณี สายการบินสิงค์โปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบิน SQ321 จากท่าอากาศสยานฮีทโธรว์ ประเทศอังกฤษ ปลายทางท่าอากาศยานชางงี ขอลงจอดฉุกเฉิน ณ อากาศยานสุวรรณภูมิ หลังเกิดเหตุตกหลุมอากาศระหว่างการเดินทาง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกหลายราย และมีผู้โดยสารสูงอายุรายหนึ่งเสียชีวิตคาดว่าเกิดจากโรคหัวใจ

สำหรับข้อมูลรายงานการบิน เที่ยวบิน SQ321 ที่ประสบเหตุตกหลุมอากาศนั้น หล่นจากความสูง 37,000 ฟุต ลงมาที่ 31,000 ฟุต ภายในระยะเวลา 3 นาที โดยส่วนต่างประมาณ 6,000 ฟุต คิดเป็นหน่วยเมตร จะมีระยะประมาณเกือบๆ 2,000 เมตร หรือกว่า 2 กิโลเมตร สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ร่างของผู้โดยสารลอยขึ้นไปกระแทกกับเพดานห้องโดยสารอย่างรุนแรง เหมือนเครื่องบินถูกดึงลงมาและกระแทกกับผู้โดยสารอย่างฉับพลัน

หนึ่งในผู้โดยสารคือ Andrew Davies ผู้ใช้บัญชี X @andrewdavies_70 ได้เปิดเผยถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นว่า มีสัญญาณรัดเข็มขัดเตือนขึ้นมาเล็กน้อย ตนเองจึงรีบคาดเข็มขัดทันที แล้วเครื่องบินก็เหมือนวูบตกลงมา มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ข้าวของสัมภาระกระจัดกระจาย กาแฟและน้ำกระเซ็นขึ้นไปบนเพดาน สิ่งที่เกิดขึ้นมันดูเหนือความจริงมาก ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมีแผลที่ศีรษะและมีเลือดออกที่หู

หนึ่งในลูกเรือของสิงคโปร์แอร์ไลน์สบอกว่า นี่เป็นประสบการณ์การบินที่เลวร้ายที่สุดของเธอในรอบ 30 ปี อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่บริการในเครื่องบินที่พยายามอดทนทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ขณะที่หน่วยฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ตอบสนองอย่างรวดเร็วมาก

Andrew Davies บอกด้วยว่าบทเรียนคือ  “การคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา” เท่าที่ตนสามารถบอกได้คือ คนที่ได้รับบาดเจ็บคือคนที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย คนที่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้รวมถึงตัวเขาเองไม่ได้รับบาดเจ็บ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ ผู้โดยสาร SQ321 เล่านาทีเครื่องบินตกหลุมอากาศ เผยสิ่งเดียวที่ทำให้ปลอดภัย ไม่บาดเจ็บ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook