กลิ่นศพไม่หาย ชายถูกฆ่าหมกคอนโด ญาติต้องสั่งรื้อพื้นห้อง ทิ้งเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด

กลิ่นศพไม่หาย ชายถูกฆ่าหมกคอนโด เพื่อนห้องข้างๆ ขวัญผวา ญาติต้องสั่งรื้อพื้นห้อง ทิ้งเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเพราะมีกลิ่นติด

ความคืบหน้าคดีฆาตกรรมหนุ่มใหญ่หมกคอนโดย่านงามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี วันที่ 28 พ.ค.67 ตัวแทนของทางครอบครัวนายไพศาล อายุ 54 ปี ผู้เสียชีวิต ได้ว่าจ้างให้พนักงานทำความสะอาดจำนวนหนึ่ง เข้าเก็บข้าวของเครื่องใช้ในห้องพักที่เกิดเหตุออกไปบริจาคทั้งหมด เนื่องจากกลิ่นศพจากร่างผู้ตายยังคงเหม็นตลบอบอวลอยู่ในห้องพัก ส่งกลิ่นรบกวนเพื่อนร่วมคอนโดที่มีห้องอาศัยอยู่ติดกัน

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดได้ขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ในห้องออกทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่แผ่นยางปูพื้นที่คราบเลือดและน้ำหนองไหลซึมลงไปติดอยู่กับพื้น เพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้ทั้งหมดทั่วห้อง หลังจากที่ได้ถอดบานกระจกริมระเบียงออกไปก่อนหน้านี้เพื่อระบายกลิ่นแล้ว

โดยเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากทางครอบครัวให้มาช่วยค้นย้ายข้าวของในห้องทั้งหมดไปทิ้งหรือนำไปบริจาคต่อก็ได้ เนื่องจากข้าวของในห้องทั้งหมดมีกลิ่นศพผู้เสียชีวิตติดอยู่เกือบทุกชิ้น จึงไม่ต้องการอะไรเก็บไว้ และเพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด ตนกับคนงานจึงมาช่วยกันเก็บข้าวของในห้องทั้งหมดเพื่อนำไปบริจาคต่อไป

โดยผู้สื่อข่าวสังเกตพบว่า ข้าวของเครื่องใช้บางชิ้นในห้องของผู้เสียชีวิตยังมีคราบเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อนอยู่ด้วย

ในส่วนความคืบหน้าของคดี ล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งได้นำโทรศัพท์มือถือไอโฟน 14 พลัส กับไอโฟนเอสอี ไปขายให้กับร้านรับซื้อโทรศัพท์มือสองภายในห้าง ย่านปทุมวัน ราคารวมทั้ง 2 เครื่องเป็นเงิน 20,000 บาท โดยได้ใช้บัตรประชาชนปลอมของผู้อื่นในการทำธุรกรรมซื้อขายกับทางเจ้าของร้าน จนต่อมาทางเจ้าของร้านที่รับซื้อเห็นภาพคนร้ายจากข่าว จึงได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน ไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากเกรงว่า จะมีฐานความผิดในข้อหารับซื้อของโจร ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองนนทบุรี เตรียมเชิญตัวเจ้าของร้านมาทำการสอบปากคำเพื่อขยายผลหาตัวคนร้ายรายนี้

จากการตรวจสอบบัตรประชาชนที่คนร้ายนำมาใช้ในธุรกรรมซื้อขายโทรศัพท์มือถือไอโฟนทั้ง 2 เครื่อง พบว่า คนร้ายได้ใช้บัตรประชาชนปลอมของผู้อื่นที่มีลักษณะคล้ายกับตัวคนร้าย เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหลักฐานบัตรประชาชนมาตรวจสอบ จึงพบว่าบัตรประชาชนใบดังกล่าวไม่ใช่คนร้ายตัวจริง จึงทำให้ออกหมายจับคนร้ายรายนี้ไม่ได้