สองพี่น้องตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินกว่า 7 ล้านบาท วอนผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือ

สองพี่น้องตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินกว่า 7 ล้านบาท วอนผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือ

สองพี่น้องตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินกว่า 7 ล้านบาท วอนผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ข่าวช่อง 3 รายงานว่า วันนี้ (11 มิ.ย.67) มีคู่พี่น้องเข้ามาขอความช่วยเหลือ หลังถูกคอลเซนเตอร์หลอกให้โอนเงิน โดยคนพี่สูญเสียไป 7 ล้าน และคนน้องเสียไป 6 แสนบาท

ด้านน้องสาวเล่าถึงเหตุการณ์นี้ว่าเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 มีโทรศัพท์เข้ามา อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่เครือค่ายโทรศัพท์ ระบุว่าได้มีคนแอบอ้างหมายเลขบัตรประชาชนของเธอไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ ทำให้เกิดเรื่องเสียหาย จึงแนะนำให้เธอ ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองขอนแก่น ซึ่งเธอเองไม่สะดวก เนื่องจากอาศัยอยู่กำแพงเพชร 

ต่อมาได้รับการโอนสาย โดยปลายสายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น และให้เธอแอดไลน์ รวมถึงขอเลขบัตรประชาชน เพื่อตรวจสอบประวัติ ก่อนจะหลอกว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการฟอกเงิน และให้ดูรูปภาพ โดยอ้างว่าเป็นรูปของคนร้าย นอกจากนี้ยังนำบัญชีธนาคารที่มีชื่อของเธอเป็นเจ้าของบัญชีมาให้ดู พร้อมแนบหมายศาลที่มีชื่อเธอเป็นจำเลย

หลังจากนั้นมิจฉาชีพบอกให้เธอโอนเงิน เพื่อที่จะนำไปตรวจสอบผ่านปปง. โดยอ้างว่าจะคืนภายใน 20 นาที เธอจึงโอนเงินไปจำนวน 5 แสนบาท จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ทำให้รู้ได้ว่าถูกหลอก จึงรีบเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร

ด้านพี่สาว เมื่อทราบว่าน้องสาวของเธอโดนแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกโอนเงิน เกิดความรู้สึกสงสาร อยากหาเงินมาช่วยน้อง จึงเข้าไปในแอปพลิเคชันสินเชื่อออนไลน์ เพื่อกู้เงิน 1 ล้านบาท ไปให้น้องสาว และแม่ที่ได้นำเงินไปช่วยน้อง

เธอรออยู่ประมาณ 2 วัน ทางแอปฯติดต่อมาว่า เงินคุณอนุมัติผ่านแล้ว ให้เข้าลิงก์กระเป๋าตังค์ เพื่อนำเงิน 1 ล้านบาทออกมา แต่พอจะกดเงินก็นำออกมาไม่ได้ ทางมิจฉาชีพจึงให้เธอเข้าไปดูเลขบัญชี ว่าเลขบัญชีที่ให้ไปผิดหรือไม่ เมื่อเธอดูพบว่าเลขบัญชีผิดไป 1 ตัว มิจฉาชีพจึงให้เธอโอนเงินเพื่อเข้าไปปลดล็อก ทั้งหมด 21 ครั้ง เริ่มต้นครั้งละแสน-สองแสนขึ้นไป จนยอดสูงสุด 1 ล้านบาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน 7,341,224 บาท

จนกระทั่งเงินหมดบัญชีแล้วไม่มีจะโอนได้อีกต่อไป เธอจึงโทรกลับไปหาเลขหมายคอลเซ็นเตอร์ของธนาคาร เพื่อสอบถามในกรณีดังกล่าว ทางธนาคารให้ข้อมูลว่าทางธนาคารไม่ได้มีนโยบายหรือข้อเสนอดังกล่าว จึงเร่งระงับบัญชี และแนะนำให้เธอไปแจ้งความ

สำหรับเรื่องนี้ทั้งสองรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมาก เพราะเป็นเงินที่เก็บมานาน อีกทั้งยังเป็นเงินส่วนใหญ่เป็นเงินของลูกค้าที่โอนมาซื้อสินค้ากับเธอ ทำให้การสูญเสียครั้งนี้กระทบต่อธุรกิจของเธอด้วย นอกจากนี้ยังเป็นเงินของแม่ที่โอนมาเพื่อช่วยเหลือเพราะเห็นลูกลำบาก ทั้งคู่จึงวอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือและเร่งดำเนินคดีกับคนร้ายให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ขณะที่ทั้งสองให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวอยู่นั้น ผู้เสียหายทั้งสองพยายามทดลองแชตไลน์ไปหามิจฉาชีพ ซึ่งมีการอ่านข้อความ แต่ไม่มีการตอบกลับ จากนั้นจึงพยายามโทรไปหา แต่ไม่มีการรับสาย

หลังจากนั้นไม่นานมิจฉาชีพได้โทรกลับมาและพยายามให้ผู้เสียหายโอนเงิน 4 แสนบาท เพื่อทำการปลดล็อกอีกครั้ง ผู้เสียหายจึงตอบกลับไปว่าไม่มีเงินโอนให้แล้ว ตอนนี้มีเพียงเงินสด มิจฉาชีพจึงได้นัดหมายให้ผู้เสียหายนำเงินสดไปมอบให้ที่กรุงเทพฯ ในเช้าอีกวัน อีกทั้งเน้นย้ำว่าจะพยายามช่วยผู้เสียหายให้ได้เงินคืนแน่นอน อย่างไรก็ตามผู้เสียหายไม่ได้เชื่อ และรวบรวมหลักฐานไปแจ้งตำรวจเพิ่มเติม 

สำหรับเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกล่าวว่าได้ดำเนินการให้แล้ว และมีการแบ่งหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อติดตามคดีนี้ หากผู้เสียหายมีหลักฐานเพิ่มเติมหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ อีก ก็สามารถนำมามอบให้ได้

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook