จากความเชื่อมั่นว่าความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก สู่พันธสัญญาปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE”

จากความเชื่อมั่นว่าความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก สู่พันธสัญญาปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE”

จากความเชื่อมั่นว่าความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก สู่พันธสัญญาปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก Create the Beauty that Moves the World” ลอรีอัล กรุ๊ป จึงได้กำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “L’ORÉAL FOR THE FUTURE” พันธสัญญาล่าสุดสำหรับปี 2030 มุ่งยกระดับเร่งการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยคำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกเป็นที่ตั้ง ซึ่งได้เริ่มต้นและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การทำงานต้นน้ำถึงปลายน้ำของการผลิตผลิตภัณฑ์ทุกแบรนด์ในเครือ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจากวัสดุรีไซเคิล ใช้ระบบพลังงานหมุนเวียน ไปพร้อมๆ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ นอกจากนั้นทุกแบรนด์ในเครือลอรีอัล ยังไม่ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์มาตั้งแต่ปี 1989 แล้ว โดยได้ทำการบุกเบิกทางเลือกใหม่ๆ ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลกได้อย่างแท้จริง

ลอรีอัลตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน

แม้ว่าผลิตภัณฑ์ในเครือลอรีอัล จะไม่ได้มีตราประทับความเป็น Green / Clean Beauty แต่เครือลอรีอัล ได้ให้ความสำคัญของการเคารพใน "ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก (Planetary Boundaries)" หรือขีดจำกัดที่โลกสามารถรับไหว โดยตั้งเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Science Based Targets) ปรับแนวทางการบริหารจัดการ การผลิต ออกแบบสูตรและบรรจุภัณฑ์บนพื้นฐานของความยั่งยืนมาอย่างยาวนาน

  • ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงาน และศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทได้ถึง 81% ซึ่งทำได้มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 60% ภายในปี 2020
  • ในปี 2013 ลอรีอัลตัดสินใจตั้งเป้า “ความยั่งยืน” ตลอดห่วงโซ่คุณค่ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงาม
  • ในปี 2020 นั้น 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่หรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ ได้รับการปรับปรุงให้มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีขึ้น
  • ลอรีอัล เป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ได้รับคะแนนระดับ “AAA” ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP เป็นระยะเวลา 8 ปีติดต่อกัน ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้

สร้างนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ลอรีอัลเริ่มออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2007 ทุ่มเทเวลาเกือบ 15 ปี เพื่อทำให้ฟุตพริ้นท์ทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ลดน้อยลง เช่น การปรับให้มีน้ำหนักเบาเพื่อลดการใช้ทรัพยากร เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่มาจากการนำกลับมาหมุนเวียน คิดค้นการทำบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ อาทิ ขวดน้ำหอมที่เติมใหม่ได้ พัฒนาการใช้งานแบบแบบรีฟิลสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิว และออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้

โดยทีมงานของลอรีอัลได้สร้างเครื่องมือ Sustainable Product Optimization Tool (SPOT) ขึ้น โดยใช้ SPOT ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ และยังสามารถนำมาใช้สำหรับจำลองการออกแบบในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมไปถึงระบุส่วนที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขหาปริมาณการลดลงของผลกระทบในทุก ๆ ด้านของผลิตภัณฑ์

ใช้วัสดุรีไซเคิล ลดความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ ใช้วัสดุจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนใหม่ได้แทนวัตถุดิบอื่น ๆ เมื่อสามารถทำได้ ทำให้ภาชนะบรรจุและบรรจุภัณฑ์สามารถเติมใหม่ได้ เพื่อจำกัดการใช้ภาชนะเพียงครั้งเดียว

  • 97% ของผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  • 100% ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 ได้ผ่านการประเมินผลโดยใช้ SPOT
  • ในปี 2022 98%ของกระดาษที่ใช้สำหรับใบปลิวผลิตภัณฑ์และ 99% ของกระดาษที่ใช้สำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน
  • ในปี 2023 - 26% ของพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์มาจากการรีไซเคิลหรือแหล่งวัตถุดิบชีวภาพ
  • ในปี 2023 - 85% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ที่ลอรีอัลใช้ทั่วโลกในปี 2023 มาจากการรีไซเคิล 100%

ภายในปี 2030

  • ลดปริมาณความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ลง 20% เมื่อเทียบกับปี 2019
  • ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ลอรีอัลมีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% และสามารถไปรีไซเคิลได้ 100% อาทิ ขวดแชมพู Elsève จากลอรีอัล ปารีส ขวดไมเซล่าวอเตอร์ จากการ์นิเย่ ขวดคาเลนดูล่าโทนเนอร์ จากคีลส์
  • ภายในปี 2025 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะสามารถใช้ในการเติมซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ นำไปรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
  • หลอดบรรจุ Pure Shots Light Up Serum ของ YSL ทั้ง 4 สูตร สามารถนำมาบรรจุในขวดใสเดียวกันได้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ยังสามารถช่วยประหยัดทรัพยากรเมื่อเทียบกับการผลิตขวดที่ไม่สามารถเติมได้ จากการใช้ภาชนะบรรจุ 1 ชิ้นกับรีฟิล 3 ส่วนแทนการใช้ 4 ขวด ทำให้น้ำหนักรวมของบรรจุภัณฑ์ลดลงถึง 52%
  • ในเดือนพฤษภาคม 2020 ลอรีอัลเปิดตัวนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ที่มีการนำกระดาษแข็งมาใช้ และสามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกได้มากกว่าหลอดบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วไป โดยในปี 2022 มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และหลอดรุ่นที่ 2 สำหรับแบรนด์La Roche-Posay ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งลดปริมาณการใช้พลาสติดลงถึง 75% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์แบบหลอดมาตรฐาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/group/about-loreal/our-purpose/reducing-plastic-packaging/

การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

สำหรับลอรีอัล น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทั้งในกระบวนการผลิตและในการใช้ผลิตภัณฑ์  โดยโรงงาน 5 แห่งเป็น "โรงงานระบบน้ำแบบหมุนเวียน" กล่าวคือ น้ำทั้งหมดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจะถูกนำมาบำบัด รีไซเคิล และวนกลับมาใช้ใหม่ ได้แก่ โรงงานที่ Burgos (สเปน), Libramont (เบลเยียม), Vichy, Rambouille และ Aulnay (ฝรั่งเศส)

ภายในปี 2030

  • ลอรีอัลมีการตั้งเป้าหมายว่าจะประเมินสูตรผลิตภัณฑ์ทุกสูตรด้วยแพลตฟอร์มทดสอบสภาพแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์นั้นเป็นมิตรต่อระบบนิเวศทางน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะบนภาคพื้นหรือชายฝั่ง
  • พัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ผู้บริโภค สามารถลดปริมาณการใช้น้ำจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัล เฉลี่ย 25% ต่อผลิตภัณฑ์ เมื่อเทียบกับปี 2016
  • น้ำที่ใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมทั้งหมดจะนำไปรีไซเคิลและวนกลับมาใช้ใหม่

Green Science: การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และความยั่งยืน

Green Science เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูกและเทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึง Green Chemistry และศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์สูตรที่นำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้แก่ผู้บริโภค

  • ปัจจุบัน 65% ของส่วนผสมธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ในเครือลอรีอัล เป็นวัตถุดิบชีวภาพหรือได้มาจากแร่ธาตุที่ไม่ขาดแคลน
  • 80% เป็นวัตถุดิบที่ย่อยสลายตามธรรมชาติได้ง่าย เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งได้มาจากแป้งข้าวโพด และใช้สำหรับการสร้างเนื้อสัมผัส
  • 32% เป็นวัตถุดิบธรรมชาติหรือมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น วิตามินซี และ 29% เป็นส่วนผสมที่ได้จาก Green Chemistry หรือกระบวนการทางเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความยั่งยืน ใช้พลังงานต่ำ และสารทำละลายที่อ่อนโยนอย่างน้ำและเอทานอล ไปพร้อม ๆ กับการลดปริมาณของเสียที่เกิดขี้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ ส่วนผสมที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและมีปริมาณการใช้น้ำเพียงน้อยนิด

ภายในปี 2030

  • 100% ของวัตถุดิบชีวภาพที่ใช้ในสูตรและใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์จะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้และได้รับการจัดหาอย่างยั่งยืน
  • 100% ของผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลจะได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ
  • จัดหาและลงมือปลูกส่วนผสมจากธรรมชาติด้วยวิธีการที่ยั่งยืน
  • คิดค้นนวัตกรรมเพื่อมอบสูตรผลิตภัณฑ์ที่สามารถปฏิวัติขั้นตอนการดูแลผิว และช่วยให้ทุกคนมีไลฟ์สไตล์ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นได้ อาทิ ครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออกตัวแรกของลอรีอัลนั้นผลิตจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 98% และช่วยประหยัดการใช้น้ำอุ่นได้ถึง 100 ลิตรต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งขวด

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/group/about-loreal/our-purpose/green-sciences/

การเคารพความหลากหลายทางชีวภาพ Respecting Biodiversity

การรักษาความงามของโลกใบนี้ หมายถึงการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพด้วยเช่นกัน หากระบบนิเวศทางธรรมชาติได้รับความเสียหาย ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นมากมายต่อผืนแผ่นดินและชุมชนต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ลอรีอัลจึงมุ่งมั่นที่จะปกป้องและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ำค่าไว้ โดยสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว ได้แก่

  • ในปี 2022 - 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือที่ปรับโฉมใหม่ มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ซึ่งหมายถึงการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • ในปี 2021 ในบรรดาวัตถุดิบที่ลอรีอัลอ้างอิงใหม่นั้น 63% เป็นวัตถุดิบที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ 25% ในจำนวนนั้นเป็นเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมวัตถุดิบราว 1,778 อย่างจากพืชพันธุ์ต่าง ๆ เกือบ 345 ชนิดที่มาจากกว่าร้อยประเทศ โดย 93% ของส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ มาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองว่ามีความยั่งยืน
  • ดำเนินแผนปฏิบัติการเพื่อให้แน่ใจว่า การจัดหาน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อไม้ (กล่องกระดาษ และกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์) เป็นไปอย่างอย่างยั่งยืน เพื่อที่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของลอรีอัลจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/respecting-biodiversity/

การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ลอรีอัลได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซ CO2 ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและการขนส่ง และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารสถานที่ เช่น อาคาร เครื่องมือและอุปกรณ์ และอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในที่ที่สามารถทำได้ และบรรลุเป้าหมายที่กำหนดในแต่ละที่โดยไม่ใช้การชดเชยคาร์บอน ในด้านการส่งลอรีอัลในประเทศไทยได้นำรถบรรทุก EV มาใช้ในการขนส่ง โดยในปี 2017 ลอรีอัลเป็นหนึ่งในหนึ่งร้อยบริษัทแรกที่กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกด้วย

เป้าหมายภายใต้โปรแกรม "L’Oréal For The Future"

  • ภายในปี 2025 ไซต์งานทั้งหมดจะใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
  • ภายในปี 2030 ลอรีอัลจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 ที่เป็นผลมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัล 25% เมื่อเทียบกับปี 2016
  • ในปี 2023 ลอรีอัลมีอาคารไซต์งานที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% จำนวน 131 แห่ง ซึ่งคิดเป็น 79% ของไซต์งานทั้งหมดทั่วโลก

ข้อมูลพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/fighting-climate-change/

เห็นได้ชัดเจนว่า “ลอรีอัล กรุ๊ป” บริษัทชั้นนำทางด้านความงามที่ประกอบด้วย 37 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 115 ปี มีเป้าหมายในการสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก โดยกำหนดทิศทางและมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้านความงามที่ครอบคลุม มีจริยธรรม สร้างความยั่งยืนให้กับสังคม และสิ่งแวดล้อม และพันธสัญญาเพื่อความยั่งยืนอย่าง L’Oréal for the Future ตอกย้ำภาพลักษณ์ในการมุ่งมั่นมอบสิ่งที่ดีที่สุดด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความจริงใจ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังคงเป้าหมายหลักในการส่งเสริมความงามอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับผู้คน

 

[Advertorial]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook