หลอน ด.ช. 10 ขวบ ตกดึกเปลี่ยนเป็นอีกคน หมออธิบายไม่ได้ ต้องถูก "สะกดจิต" หาสาเหตุ

หลอน ด.ช. 10 ขวบ ตกดึกเปลี่ยนเป็นอีกคน หมออธิบายไม่ได้ ต้องถูก "สะกดจิต" หาสาเหตุ

หลอน ด.ช. 10 ขวบ ตกดึกเปลี่ยนเป็นอีกคน หมออธิบายไม่ได้ ต้องถูก "สะกดจิต" หาสาเหตุ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไขปริศนาเด็ก 10 ขวบ มีพฤติกรรมชวนหลอนตอนดึกๆ เสียง-สีหน้าเปลี่ยนเป็นอีกคน เอาแต่หัวเราะแปลกๆ หมออธิบายไม่ได้ ต้องถูก "สะกดจิต" เพื่อหาสาเหตุ

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.2016 ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน หลายเป็นสถานที่ทีมีชื่อเสียงขึ้นมา เนื่องจากเรื่องราวของเด็กชายวัย 10 ขวบ

“คัง” (นามสมมุติ) อาศัยอยู่กับปู่ย่า เนื่องจากพ่อแม่ไปทำงานไกลบ้านตั้งแต่เขายังเด็กๆ และเพราะการดูแลความเอาใจใส่จากพ่อแม่ จึงกลายเป็นคนเก็บตัว เงียบ และกลัวคนแปลกหน้า แต่เมื่อเริ่มเข้าเรียน ได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ก็กลายเป็นมีชีวิตชีวาและร่าเริงมากขึ้น

เมื่อคังขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนประจำ พ่อแม่ของเขาได้วิดีโอคอลหาลูกเป็นครั้งแรก แม้เด็กชายจะเขินอายแต่ก็ดูมีความสุขมากๆ ก่อนที่จะวางสาย พ่อแม่ก็ไม่ลืมบอกให้ลูกชายตั้งใจเรียนและเรียนให้ได้เกรดดีๆ เพื่อจะได้มีเงินเยอะๆ ไว้เลี้ยงครอบครัวในอนาคต เด็กน้อยก็พยักหน้ารับปากอย่างเชื่อฟัง

หลังจากโทรศัพท์ครั้งนี้ คังก็เรียนหนักขึ้นและจริงจังมากขึ้น เขาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ผลการเรียนดีที่สุดในชั้นเรียน ได้รับเกียรติบัตรและรางวัลมากมาย แต่แล้วก็มีการสอบครั้งหนึ่งที่เขาได้คะแนนไม่ดี อันดับของเขาหลุดออกจาก 10 อันดับแรกของชั้นเรียน เมื่อพ่อแม่รู้ก็โกรธมากและดุลูกจนดึกดื่น

วันรุ่งขึ้นเมื่อคังไปโรงเรียน คุณครูเห็นหน้าก็ได้เข้ามาปลอบใจทันที เพราะรู้ว่าเมื่อคืนเด็กชายเพิ่งร้องไห้มาอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะพยายามตั้งใจเรียนแค่ไหน แต่ผลการเรียนยังคงตกลง และอันดับในชั้นเรียนก็ตกลงเรื่อยๆ ทำให้พ่อแม่กังวลและโทรมาตักเตือนหลายครั้ง เด็กชายจึงกังวลมาก พูดน้อยลง และนอนไม่หลับด้วยซ้ำ

เสียงหัวเราะแปลกๆกลางดึก

วันหนึ่ง ครูกำลังสอนบทเรียน จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแปลกๆ ดังออกมา พอมองสำรวจจึงพบว่าเป็นเสียงขอคัง ซึ่งกำลังแสดงสีหน้าที่แปลกมาก และไม่ว่าจะพยายามเรียกให้ได้สติอย่างไร เด็กชายก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกจากส่งเสียวหัวเราะแปลกๆ ไม่หยุด ทำให้ครูเริ่มกลัว จึงตัดสินใจอุ้มไปที่ห้องพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจดู

แพทย์เอามือแตะหน้าผากคัง พบว่าอุณหภูมิร่างกายปกติและไม่มีไข้ จากนั้นเขาก็หยิบไฟฉายออกมาและต้องการตรวจตาทันใดนั้นเขาก็พบว่าดวงตาของเด็กมองตรงมาที่เขา พร้อมส่งเสียงหัวเราะและแสดงสีหน้าที่น่ากลัวออกมา ฉากนี้เหมือนกับ“หนังสยองขวัญ” มากเสียจนเขาเผลอถอยหลังหนีหนึ่งก้าว

แต่แล้วจู่ๆ เสียงหัวเราะก็หยุดลง คังดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว เด็กชายมองไปรอบๆ อย่างสับสบ เมื่อพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องเรียน และไม่เข้าใจว่าทำไมครูถึงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์นี้แปลกมากจนทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกหลอกหลอน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอีก คุณครูเพียงพาเด็กชายกลับเข้าชั้นเรียน และโทรแจ้งเรื่องกับผู้ปกครอง พร้อมสอบถามถึงพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งทำให้ปู่ย่าประหลาดใจมาก เพราะเมื่อหลานอยผู้ที่บ้านก็เป็นปกติดี ร่างกายแข็งแรง ไม่มีปัญหาอะไร

คืนนั้นในหอพัก คังเข้านอนเร็วเหมือนเคย แต่แล้วเมื่อทุกคนหลับสนิท จู่ๆ คังก็หัวเราะแปลกๆ ยกมือขึ้นในอากาศ และมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างมาก เพื่อนร่วมที่ได้ยินเสียงและตื่นขึ้นมาเปิดไฟ ได้พยายามปลุกคังให้ตื่นแต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆกระทั่งสองนาทีต่อมาเขาจึงสงบลงไปเอง คืนต่อๆ มา ก็ยังคงเกิดเหตุการณ์แปลกๆ เช่นนี้เสมอ

ในที่สุดทางโรงเรียนก็ตัดสินใจส่งคังกลับบ้าน และขอให้รอจนอาการของเขาคงที่ก่อนจึงจะกลับมาโรงเรียนอีกครั้ง คืนแรกที่กลับบ้าน ตอนที่ปู่ย่ากำลังจะนอนหลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ พวกเขาเบิกตากว้างและพบว่าหลานชายมีพฤติกรรมแปลกๆละเมอพูดประโยคที่ไม่ชัดเจนสองสามประโยค และเอาแต่หัวเราะไม่หยุด ไม่ว่าจะตะโกนหรือตบหน้าเบาๆ เพื่อปลุกให้ตื่นเท่าไหร่ ก็ไม่โต้ตอบ

คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเริ่มได้ยินข่าวเรื่องนี้ ก็บอกกันว่าคังถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง ปู่ย่าต้องพาหลานไปวัด และให้พระมาที่บ้านเพื่อไล่วิญญาณชั่วร้าย อย่างไรก็ตาม อาการของหลานชายก็ยังไม่ดีขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแจ้งให้พ่อแม่ของคังทราบ และขอให้ทั้งสองกลับบ้านโดยเร็ว

แต่เมื่อพ่อแม่ของคังกลับมาอยู่ที่บ้าน อาการของเด็กชายก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความถี่ของการชักเริ่มบ่อยขึ้น แม้แต่หมอที่โรงพยาบาลก็ตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ ทำได้เพียงแนะนำให้ครอบครัวพาเด็กชายไปตรวจที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมืองแต่แม้จะไปตรวจคลื่นสมองแล้ว ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

 

ลูกพี่ลูกน้องที่มีอาการเดียวกัน

แต่ในระหว่างที่ครอบครัวถึงทางตัน พวกเขาก็ได้รู้ข่าวลูกพี่ลูกน้องของคังที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน  ลูกพี่ลูกน้องคนนี้อายุ 21 ปี เป็นเด็กดีไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่คืนหนึ่งขณะนอนอยู่ที่บ้าน จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นออกจากห้องไปหยิบมีดในครัว แต่เช้าวันรุ่งขึ้นกลับจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย

แพทย์ตรวจไม่พบความผิดปกติของอาการเดินละเมอ ดังนั้นข้อสงสัยเดียวที่เหลืออยู่คือ “ปัญหาทางจิต” เท่านั้น กระทั่งในระหว่างกระบวนการสะกดจิต นักจิตวิทยาได้ถึงได้รู้ว่า หลังจากเรียนจบชายหนุ่มคนนี้ไม่พบงานที่เหมาะสมกับตนเอง ดังนั้นเขาจึงมีภาระและแรงกดดันในใจมากมาย และหลังจากการอดกลั้นในใจมาเป็นเวลานาน ในที่สุดพฤติกรรมแปลกๆ ก็เกิดขึ้น

ครอบครัวจึงตัดสินใจให้คังรับการบำบัดด้วยการสะกดจิตเข่นเดียวกัน ทำให้นักจิตวิทยาได้รู้ว่าเด็กชายอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากในการศึกษา และความกดดันนี้มาจากครอบครัวของเขา เมื่อทราบถึงเหตุผล พ่อแม่ของเด็กชายก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาสัญญาว่าจะไม่กดดันลูกอีกต่อไป เพียงหวังว่าลูกจะเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงและมีความสุข

ท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ อาการของเด็กชายจึงดีขึ้นอย่างมาก หลังจากพักฟื้นที่บ้านได้ระยะหนึ่ง เขาก็กลับไปโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ และเป็นเด็กมีความสุขดังเดิม

ทุกวันนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก ความเครียดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความกดดันที่พอเหมาะสามารถกระตุ้นให้ผู้คนพยายาม แต่ความกดดันที่มากเกินไปจะยิ่งทำให้พวกเขามีปัญหาทางจิต ดังนั้น ครอบครัวต้องใช้เวลากับลูก ใกล้ชิดและรับฟังเพื่อทราบความปรารถนาและแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ นอกเหนือจากการเรียนแล้ว ควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าเด็กๆ มีกิจกรรมที่สมดุลและผ่อนคลายด้วย

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook