ย้อนอดีตเณรแอ จอมขมังเวทย์
ในวงการไสยศาสตร์ของประเทศไทย ไม่มีใครไม่รู้จัก เณรแอ เจ้าของต้นตำรับ กุมารทอง ของขลัง รวมทั้งมนต์ดำเสน่ห์ยาแฝดที่ชื่อดังที่สุดแห่งยุค
เณรแอ หรือ นายหาญ รักษาจิตร์ บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหนองระกำ อ.หนองโดน จ.สระบุรี อยู่นานหลายปี แม้ว่าอายุจะถึงวัยที่ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่ เณรแอ ไม่ยอมอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่กลับเลือกที่จะร่ำเรียนไสยศาสตร์มนต์ดำจาก อาจารย์เขมร จนว่ากันว่ามีอาคมแก่กล้า ช่ำชองการทำเสน่ห์ยาแฝด การสะเดาะเคราะห์ และปลุกเสกของขลัง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ลูกศิษย์ลูกหาเดินทางไปให้ "เณรแอ" ทำพิธีทางไสยศาสตร์แต่ละวันจำนวนมาก
ช่วง ปี 2537 เณรแอ ใช้ใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำทำพิธีปลุกเสกกุมารทอง ของขัลที่ผู้คลั่งไคล้ไสยศาสตร์ เชื่อกันว่า เป็นผีเด็ก หากว่าใครมีไว้ในครอบครองแล้วจะทำให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน การค้าการขายได้กำไรดี
หากใครได้อ่าน วรรณคดี "ขุนช้างขุนแผน" จะเห็นเนื้อเรื่องช่วงหนึ่งที่ขุนแผนฉวยโอกาสที่นางบัวคลี่หลับผ่าท้องควักเอาเด็กออกมาย่างไฟจน แห้งสนิท แล้วปลุกเสกด้วยคาถาอาคม จนเป็นกุมารทองของขลังที่ติดตามขุนแผนไปทุกหนทุกแห่ง
และนี่จึงเป็นอีกหนึ่งที่ทำให้ผุ้คนต่างคลั่งไคล้ในตัว เณรแอ ที่อาศัยความเชื่อในไสยศาสตร์ที่มีอยู่ดั้งเดิมของคนไทยมาเชื่อมโยงกับเรื่องราวในวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่คุ้นเคยกันดีในหมู่คนไทย จนต่างยกให้เป็น "จอมขมังเวทย์" ไปในที่สุด
เส้นทางทางไสยศาสตร์ พิธีกรรมปลุกเสก กุมารทอง ในครั้งนั้น ส่งผลให้จอมขมังเวทผู้นี้ถูกกรมการศาสนาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.หนองโดน ให้ดำเนินคดี ในข้อหาอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีตัวตน ซึ่ง เณรแอ ต้องเดินเข้าคุก และไร้อิสรภาพอยู่ 1 ปีเต็ม
เนื่องจากในพิธีปลุกเสก "กุมารทอง" ได้มีการบันทึกภาพวิดีโอขั้นตอนการปลุกเสกถูกเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ จนกลายเป็นกระแสข่าวดัง โดยขั้นตอนการย่างศพเด็กที่ทำหลายคนสลดกับภาพที่เห็น
หลังจากพ้นโทษ "เณรแอ" จะไม่ได้ถือครองผ้าเหลือง เขาได้ใช้บ้านพักทรงไทย ปลูกสร้างอยู่ในเนื้อที่ 5 ไร่ เลขที่ 18 หมู่ 6 ต.หนองโดน อ.หนองโดน จ.สระบุรี เป็นสถานที่ทำเสน่ห์ยาแฝดให้แก่ผู้ที่ศรัทธาไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงไสยศาสตร์เลย
จนเมื่อปี 2538 "เณรแอ" แต่งงานกับ นางชไมพร รักษาจิตร์ โดยยังคงยึดอาชีพหมอเสน่ห์ แต่ต้องเลิกรากันไป โดยนางชไมพรอ้างว่าทนพฤติการณ์ของ "เณรแอ" ไม่ไหว กรณีบังคับให้หลอกลวงหญิงสาวที่มีปัญหาครอบครัวให้มาทำพิธีไสยศาสตร์ และได้ฟ้องหย่าต่อศาล
ต่อมาเมื่อปี 2548 อดีตภรรยาเข้าร้องเรียนต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวหา "เณรแอ" ว่าเป็นจอมลวงโลก มีพฤติการณ์ต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชน อ้างพิธีทางไสยศาสตร์หลอกข่มขืนหญิงสาวที่หลงเชื่อ แถมยังแอบถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์เหยื่อ
จนเกิดการสอบสวน และดำเนินคดี เณรแอ ในที่สุด โดยเมื่อเช้ามืดวันที่ 10 กรกฎาคม 2548 ตำรวจพบ "เณรแอ" นอนอยู่ในห้องพักกับหญิงสาววัย 19 ปี รายหนึ่ง โดยหญิงสาวรายนี้ยอมรับกับตำรวจว่า เดินทางมาพบ "เณรแอ" เพื่อให้ทำเสน่ห์ยาแฝดให้ แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าพิธี จึงต้องยอมร่วมหลับนอนกับ "เณรแอ" แทน
การค้นบ้านพักของ "เณรแอ" ยังพบเครื่องรางของขลังและอุปกรณ์การทำพิธีไสยศาสตร์อยู่เต็มบ้าน แต่ที่ทำให้ตำรวจแปลกใจคือ มี ยาทน ยาไวอากร้า และยากล่อมประสาท ซุกซ่อนอยู่ใต้ฐานพระภายในห้องทำพิธีของ "เณรแอ" ด้วย
"เณรแอ" ถูกควบคุมตัวมาสอบสวนที่ บก.ปดส. ซึ่งเขายืนกรานปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยเฉพาะในประเด็นการข่มขืนหญิงสาว ที่มาพบเขาเพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์ โดยอ้างว่าหญิงสาวยินยอมมีเพศสัมพันธ์กับเขาเอง ต่อมาพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเณรแอ ต่อศาลอาญา รัชดาฯ เอาผิดเณรแอฐานฉ้อโกงประชาชน
กระทั้งวันนี้ (23 ม.ย.)ศาลได้พิพากษาจำคุก "เณรแอ" เป็น เวลา 100 ปี แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 75 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อลงโทษจำคุกจำเลยทุกกระทงความผิดแล้ว จำคุกได้ ไม่เกิน 20 ปี