คันมือ-เท้า ไปหาหมอผิวหนัง อึ้งกลายเป็น "เบาหวาน" ทั้งที่ไม่กินหวาน แต่กินสิ่งนี้มากไป

คันมือ-เท้า ไปหาหมอผิวหนัง อึ้งกลายเป็น "เบาหวาน" ทั้งที่ไม่กินหวาน แต่กินสิ่งนี้มากไป

คันมือ-เท้า ไปหาหมอผิวหนัง อึ้งกลายเป็น "เบาหวาน" ทั้งที่ไม่กินหวาน แต่กินสิ่งนี้มากไป
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คันมือ-เท้า ไปคลินิกผิวหนังไม่หาย สุดท้ายต้องไป รพ. อึ้งกลายเป็น "เบาหวาน" ทั้งที่ไม่กินหวาน หมอเตือนกินสิ่งนี้มากไป 

คุณหยาง อายุ 52 ปี หยิงที่อาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ จีน เล่าว่า เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อ 2 เดือนก่อน เนื่องจากมีอาการคันที่เท้าและหลังมือ ความรู้สึกคันจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลากลางคืน และไม่บรรเทาลงมากนักหลังจากใช้ยาด้วยตนเอง แม้ว่าแพทย์ผิวหนังจะสั่งยาให้ แต่ก็ให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากใช้หยุดยาอาการคันก็รุนแรงขึ้นทันที ทำให้สูญเสียความอยากอาหารและนอนหลับยากขึ้น

กระทั่งเมื่อ 3 วันก่อน คุณหยางตัดสินใจตรงไปตรวจสุขภาพที่แผนกผิวหนัง โรงพยาบาลกลาง ที่นี่แพทย์ขอให้เธอตรวจเลือดและตรวจความดันโลหิตทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่คลินิกผิวหนัง 2 แห่งก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำ ก่อนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ในที่สุด ซึ่งน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารอยู่ที่ 14.7 มิลลิโมล/ลิตร ในขณะที่ดัชนีนี้ในคนปกติอยู่ระหว่าง 4-7 มิลลิโมล/ลิตร เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ค่อยกินของหวาน เธอจึงตื่นตระหนกอย่างมาก เมื่อเห็นดัชนีน้ำตาลในเลือดเป็นเช่นนี้

หลังจากนั้นคุณหยางก็ถูกย้ายไปยังภาควิชาต่อมไร้ท่อ นพ.อู๋ อี้ป๋อ กล่าวว่า "นอกจากจะมีอาการคันตามผิวหนังผิดปกติแล้ว ผู้ป่วยยังแสดงอาการน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วด้วย ภายใน 2 เดือน น้ำหนักลดมากกว่า 3 กิโลกรัม คนไข้คิดว่าเพราะอาการคันทำให้เบื่ออาหาร จึงไม่ได้สนใจน้ำหนักที่ลดลง นอกจากนี้ยังมีอาการอาการปากแห้งเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2"

ส่วนสาเหตุของโรคนั้น นพ.อู๋ อธิบายว่า การกินขนมหวานมากเกินไปไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ในกรณีของคุณหยาง เธอไม่ได้กินขนมหวาน แต่กินแป้งมากเกินไปทุกวันเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะในมื้อเช้า “แป้งยังช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นเดียวกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง แป้งทำจากโมเลกุลกลูโคส และเมื่อถูกย่อยจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ผลเสียจากการกินแป้งมากๆ จะเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วลดลง หากคุณกินมากเกินไป ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเพิ่มของน้ำหนัก โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคทางเมตาบอลิซึมอื่นๆ อีกด้วย”

ยังไม่รวมกับพฤติกรรมนอนดึกเป็นเวลาหลายปีของคุณหยาง ซึ่งอาจทำให้ความต้านทานต่ออินซูลินของร่างกายถูกทำลาย การเผาผลาญกลูโคสลดลง ความไวของอินซูลินลดลง และไขมันสะสมมากขึ้น ทำให้เกิดโรคเบาหวานประเภท 2 และในกรณีของคุณหยางนี้เอง ยังเตือนเราไม่ให้ละเลยเกี่ยวกับอาการคันที่ผิวหนังเรื้อรัง นี่อาจไม่ใช่แค่ปัญหาผิวหนังทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนถึงโรคอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงโรคเบาหวานด้วย

นพ.วู กล่าวว่า “อาการคันที่ผิวหนังเนื่องจากโรคเบาหวานมีสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุรวมกัน เช่น การไหลเวียนโลหิตและโรคไม่ดีทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก เมื่อปัสสาวะหรือระเหยผ่านผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแห้ง คัน น้ำตาลในเลือดสูงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อทางผิวหนัง และเชื้อรามากขึ้นหลายเท่า หรือระดับไซโตไคน์ (สารอักเสบ) ในร่างกายสูง ยังทำให้เกิดอาการคันและเส้นประสาทถูกทำลาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ เมื่อทำลายเส้นใยประสาท โรคเบาหวานอาจทำให้เกิดภาวะเส้นประสาทอักเสบ ส่งผลให้ผิวหนังของผู้ป่วยเกิดอาการคัน และผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการคันที่ผิวหนังเนื่องจากไตและตับวายหรือแพ้ยา"

นอกจากนี้ แพทย์ยังเตือนด้วยว่าอาการคันที่ผิวหนังเนื่องจากโรคเบาหวาน มักเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ เช่น เท้า มือ แขน หู อวัยวะเพศ หรือคันตา ร่วมกับการมองเห็นไม่ชัด บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการคันตามร่างกายอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถหาสาเหตุได้ ลักษณะของอาการคันเนื่องจากโรคเบาหวานมักจะชัดเจนมากขึ้นในเวลากลางคืน ร่วมกับผิวแห้งแตก หรือเป็นผื่นได้ง่าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook