คุยกับ “ดิว นันท์ณภัส ”คนรุ่นใหม่ย้อมผ้าธรรมชาติ ฟื้นภูมิปัญญาผ้าคราม จ.อุทัยธานี

คุยกับ “ดิว นันท์ณภัส ”คนรุ่นใหม่ย้อมผ้าธรรมชาติ ฟื้นภูมิปัญญาผ้าคราม จ.อุทัยธานี

คุยกับ “ดิว นันท์ณภัส ”คนรุ่นใหม่ย้อมผ้าธรรมชาติ ฟื้นภูมิปัญญาผ้าคราม จ.อุทัยธานี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“นันท์ณภัส กมลสิรินันทิตา” หรือ “ดิว” อดีตพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานคร ผันตัวมาทำธุรกิจผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ อนุรักษ์วิถีชุมชน

 

ชีวิตที่พลิกผัน

เมื่อก่อนดิวทำงานอยู่ในแวดวงโฆษณามาตลอด แต่ชีวิตต้องพลิกผันเมื่อโรคมะเร็งได้คร่าชีวิตแม่ของเธอไป ทำให้ต้องตกลงกับพี่ชายว่าใครจะกลับมาอยู่กับพ่อ ที่จ.อุทัยธานี และเธอขอเป็นคนเสียสละเอง 

พ่อและพี่ชายช่วยกันหางานรองรับดิว ด้วยการเลี้ยงตัวไหมส่งให้กับโรงงานสิ่งทอขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีระยะเวลาการเลี้ยงรอบหนึ่งราว 20 วัน เพื่อให้ยังมีรายได้ 

ดิวเล่าว่า เมื่อเข้าโครงการฝึกหัดเลี้ยงไหมครั้งแรกก็เจออุปสรรคหลายอย่าง โดยเฉพาะตัวเองที่เป็นคนกลัวหนอนมาก จึงต้องทำใจอยู่สักพัก และเมื่อเลี้ยงไปแล้วยังพบว่าหนอนไหมอ่อนไหวมาก ต้องหมั่นดูแลและควบคุมคุณภาพใบหม่อนให้ดี ขณะที่รายได้กลับสะท้อนแรงที่ลงไปได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ระหว่างกำลังหาหนทางทำรายได้ใหม่ ที่หมู่บ้านมีโครงการฝึกสอนการย้อมสีธรรมชาติพอดี จึงตัดสินใจเข้าร่วมและนำผ้าแผ่นไปทำเวิร์กชอปด้วย

เมื่อได้ความรู้เบื้องต้นมาแล้ว เธอจึงตัดสินใจลองนำผ้ามัดย้อมไปขายที่ตลาดด้วยเงินทุนที่เหลือเพียง 2,000 บาท ผลออกมาดีเกินคาด เพียงครั้งแรกของการขาย พบว่าทำรายได้ให้มากกว่าการเลี้ยงตัวไหมเพื่อส่งให้โรงงานสิ่งทอใหญ่ตลอดรอบ 20 วัน เธอจึงทุ่มเงินเก็บและแรงกายเพื่อสร้างธุรกิจผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติที่บ้านเกิดที่ ต.ห้วยแห้ง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี

"ใส่ซัมบาย" ฟื้นลมหายใจภูมิปัญญาท้องถิ่น

นอกจากตัวเงินที่เห็นเป็นรูปธรรม เธอยังกล่าวว่า “ผ้ามัดย้อมยังฟื้นฟูภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่อพยพมาจากลาวและนำความรู้ด้านการย้อมครามธรรมชาติกลับมาด้วย”

โดยเธอเล่าเพิ่มเติมว่า ได้ยินเรื่องการย้อมครามมาตั้งแต่เด็ก พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าทวดเคยทำมาก่อน เพราะเป็นภูมิปัญญาของผู้คนในบ้านห้วยแห้ง ที่อพยพมาจากลาว และทำได้เองโดยมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป

แต่การย้อมครามลดความนิยมลงไป เมื่อสีสำเร็จรูปเข้ามาแทนที่ และขณะนั้นถุงมือสำหรับย้อมผ้าแพร่หลายน้อยกว่าปัจจุบันมาก ทำให้สีติดแขน จึงลดความมั่นใจของผู้ย้อมโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงสาว

ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำ "แบรนด์ใส้ซัมบาย" ขึ้นมา เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญานี้เอาไว้ นอกจากนี้แบรนด์ของเธอยังให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพของสินค้า ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติจริง ๆ ไปจนถึงการตากผ้าที่พื้นดิน เพื่อให้ไอความร้อนเร่งให้ผ้าแห้งลดความอับชื้น 

“ถ้าทำ 2 สีนี้ (ครามและมะเกลือ) คนที่ซื้อไปก็จะรู้สึกคุ้มกับการที่ซื้อสินค้าไปใส่หน่อย ไม่ใช่แบบว่าซื้อไปซัก 2-3 ครั้งแล้วบอก สีว่าซีดแล้ว”  ดิวเล่า

ยิ่งไปกว่านั้น ดิวยังรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของใส่ซัมบายสีไม่ตกตั้งแต่ซักครั้งแรก และถ้าใช้ไปนาน ๆ แล้วสีซีด ลูกค้าสามารถส่งกลับมาให้ดิวย้อมใหม่ฟรีอีก 1 ครั้ง

เมื่อย้อนกลับไปมองตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำแบรนด์นี้ ดิวรู้สึกว่าเป็นการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตที่เหนือความคาดหมาย แต่สิ่งที่เรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นอะไรมักเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ตัวเราเองต่างหากที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ พร้อมจะคว้าโอกาสนั้นไว้หรือเปล่า หากวันนี้ผู้ที่อ่านอยู่มีความคิดอยากทำธุรกิจของตัวเองก็อยากให้ลองทำดู แต่ทั้งนี้ก็ต้องคิดให้รอบคอบว่าทำแล้วมีโอกาสที่ธุรกิจจะไปต่อได้หรือไม่

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ คุยกับ “ดิว นันท์ณภัส ”คนรุ่นใหม่ย้อมผ้าธรรมชาติ ฟื้นภูมิปัญญาผ้าคราม จ.อุทัยธานี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook