จำกันได้ไหม? "7 ตุ๊กตาในตำนาน" ที่ครั้งหนึ่งเคยฮิตระเบิด แย่งกันซื้อวุ่นวาย

จำกันได้ไหม? "7 ตุ๊กตาในตำนาน" ที่ครั้งหนึ่งเคยฮิตระเบิด แย่งกันซื้อวุ่นวาย

จำกันได้ไหม? "7 ตุ๊กตาในตำนาน" ที่ครั้งหนึ่งเคยฮิตระเบิด แย่งกันซื้อวุ่นวาย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นไอเทมยอดฮิตที่ใครๆ ก็พูดถึงประจำปี 2024 เป็นที่เรียบร้อย สำหรับ "ตุ๊กตาลาบูบู้" ปีศาจตัวจิ๋วยิ้มฟันแหลมเรียงซี่ สวมชุดกระต่ายขนปุกปุยและหูตั้ง รวมถึง "น้องหมีเนย" Butterbear สุดน่ารัก ที่ทำเอาโลกโซเชียลเถียงกันวุ่นวายไปหมด ว่าน้องหมีเนยนั้น จริงๆก็เป็นหมีนั่นแหละ หาใช่คนใส่ชุดหมี นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์น้องหมีเนยที่วางขายก็มีป้าย sold out อยู่เนืองๆ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ชวนให้นึกถึง "เหล่าตุ๊กตา" ที่เคยได้รับความนิยมและเป็นที่รักของใครหลายคนในอดีต ซึ่งเป็นกระแสของสังคมในขณะนั้น แต่ปัจจุบันเสื่อมความนิยมกันไปแล้ว

จริงๆมันก็เป็นสัจธรรมนะที่ว่า "เก่าไป ใหม่มา" ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม สักวันมันจะถูกแทนที่เสมอ เหมือนในอดีตที่ใครต่อใคร "เคย" ถามหาตุ๊กตาอย่างบลายธ์, เฟอร์บี้ แม้กระทั่ง ตุ๊กตาลูกเทพ ที่เป็นกระแสฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ในวันนี้ตุ๊กตาเหล่านั้นอาจจะยังมีคุณค่าสำหรับหลายคน แต่หลายคนก็หลงลืมน้องๆไปแล้ว

วันนี้ Tonkit360 จะพาย้อนวันวาน ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคลาบูบู้และหมีน้องเนยอย่างทุกวันนี้ จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนเราเคยตามหาตุ๊กตาอะไรกันมาบ้าง?

1. ตุ๊กตาบาร์บี้
qตุ๊กตาที่ดูจะอายุเยอะที่สุดที่เคยเป็นของสะสมยอดฮิตของเด็กผู้หญิงเกือบทั่วโลก เห็นทีจะหนีไม่พ้น "ตุ๊กตาบาร์บี้" ซึ่งเป็นเป็นตุ๊กตาจำลองรูปคน ส่วนมากมักจะเป็นเด็กผู้หญิง หญิงสาว หรือเจ้าหญิง เน้นการแต่งตัวตามแฟชั่น มีเสื้อผ้าสวยๆ และมีอุปกรณ์เสริมมากมายสำหรับตุ๊กตา สัดส่วนของตุ๊กตาจะจำลองจากขนาดของคนจริงๆที่ย่อขนาดลงมา ครั้งหนึ่ง บาร์บี้เคยเป็นที่นิยมมากจนทำให้มีทั้งของแท้ ของเลียนแบบ และของปลอมอยู่เกลื่อนตลาด เมื่อก่อนเด็กผู้หญิงแทบทุกคนรู้จักตุ๊กตาบาร์บี้ และน่าจะมีอยู่ในครอบครองอย่างน้อยคนละ 1 ตัว (ส่วนของแท้หรือของปลอม ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของผู้ปกครอง ทว่าเด็กส่วนใหญ่เรียกรวมตุ๊กตาแบบนี้ว่าบาร์บี้หมด)

บาร์บี้ กลายเป็นที่นิยมเนื่องจากรูปลักษณ์ที่สวยงามของตุ๊กตา และเสื้อผ้าแฟชั่นหลากหลายแบบที่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ เด็กๆจึงสนุกสนานกับการแต่งตัวให้ตุ๊กตาบาร์บี้เป็นอย่างมาก รวมถึงยังมีของเล่นและอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็กๆ อีกทั้งยังมีบาร์บี้หลายรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เช่น บาร์บี้เจ้าหญิง บาร์บี้ที่ประกอบอาชีพต่างๆ เป็นต้น

ทุกวันนี้ กระแสของบาร์บี้อาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังเป็นตุ๊กตาที่มีวางจำหน่ายอยู่อย่างต่อเนื่อง และยังไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา เรียกว่าเป็นตุ๊กตาสุดคลาสลิกตลอดกาล เด็กรุ่นใหม่ๆก็ยังรู้จักตุ๊กตาบาร์บี้ แม้ว่าจะมีตุ๊กตาอื่นๆที่เป็นที่นิยมขึ้นมา ช่วงที่บาร์บี้ได้รับความนิยมมากๆ ราคาของตุ๊กตาค่อนข้างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับรุ่นและความหายากของตุ๊กตา รุ่นที่ได้รับความนิยมมากในช่วงที่ฮิตๆ อาจมีราคาสูงได้หลายพันบาทถึงหลักหมื่นบาท โดยเฉพาะรุ่นที่มีการออกแบบพิเศษที่มีจำนวนน้อย ราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามอายุและความหายากของตุ๊กตา ในปัจจุบันที่ยังมีบาร์บี้วางขายอยู่ ก็มีราคาตั้งแต่หลักร้อยบาทไปจนถึงหลักหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและการออกแบบของตุ๊กตา

2. ตุ๊กตาบลายธ์
wในยุคต่อมา เป็นยุคของตุ๊กตาผู้หญิงหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่สัดส่วนไม่ได้จำลองแบบคนจริงๆอย่างที่บาร์บี้ทำ โดย "ตุ๊กตาบลายธ์" จะเป็นตุ๊กตาที่มีหัวโตเมื่อเทียบกับขนาดตัว ลำตัวสั้น แขนขาเล็ก และมีความโดดเด่นจากดวงตาแบ๊วๆกลมโตที่สามารถกะพริบตาและเปลี่ยนสีตาได้ มีขนตาสะพรึง ไม่เพียงเท่านั้น ลูกเล่นของตุ๊กตาบลายธ์ก็คือมีผมที่ยาวสลวย สีผมฉูดฉาด และเซตเสื้อผ้าที่สามารถจับตุ๊กตามาแต่งตัวได้ ซึ่งการที่บลายธ์สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า และเปลี่ยนทรงผมได้หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมหมู่คนดังที่จับบลายธ์มาแต่งตัว เลี้ยงเหมือนลูก แล้วอวดโฉมบนหน้าสื่อ แล้วกลายเป็นกระแสที่คนแห่ซื้อมาครอบครองตามในที่สุด

ในอดีต ตุ๊กตาบลายธ์เคยเป็นตุ๊กตาที่ไม่ได้รับความนิยม ผลิตที่ฮ่องกงและวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเพียงปีเดียวแล้วก็ไม่มีการจำหน่ายอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กระแสของตุ๊กตาลบลายธ์จุดติด เมื่อ Gina Garan ช่างภาพและนักสะสมตุ๊กตา ได้นำตุ๊กตานี้มาเป็นแบบฝึกฝนการถ่ายภาพ เธอถ่ายภาพตุ๊กตาบลายธ์ในสถานที่ต่างๆ และเผยแพร่ในหนังสือ "This is Blythe"

ต่อมาเริ่มเกิดกระแสความนิยม โดยตุ๊กตาบลายธ์ถูกนำไปต่อยอดทำนิทรรศการและได้รับความสนใจจากแบรนด์แฟชั่นแนวหน้าของโลก และยังถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์โฆษณาของห้างสรรพสินค้าของญี่ปุ่น จึงจุดกระแสความนิยมในญี่ปุ่นทันที รวมถึงรายการโทรทัศน์ I Love the ’70s ของ VH1 ได้จัดให้มีช่วงเวลาพิเศษของตุ๊กตาบลายธ์โดยเฉพาะ จึงทำให้เกิดความนิยมไปในวงกว้างยิ่งขึ้นไปอีก และด้วยความที่บลายธ์รุ่นแรกเลิกขายไปแล้ว ตุ๊กตานี่จึงกลายเป็นของแรร์ไอเทมทันที ใครก็ตามที่มีอยู่ในครอบครองสามารถตั้งราคาขายต่อได้เลย เพราะนักสะสมตัวยงต่างควานหารุ่นนี้กันเป็นจำนวนมาก แถมพร้อมจ่ายในราคาที่แพง โดยขึ้นอยู่กับสภาพของตุ๊กตาด้วย

ในตอนนั้นที่นักสะสมตุ๊กตาพากันสะสมตุ๊กตาบลายธ์รุ่นแรก ทำให้ราคาจำหน่ายของบลายธ์เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดตัวอย่างมาก จากตัวละ 35 ดอลลาร์สหรัฐ กลายมาเป็นไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาบริษัทแฮสโบร ผู้ถือลิขสิทธิ์ของตุ๊กตาบลายธ์ ได้ผลิตตุ๊กตาบลายธ์ขึ้นมาใหม่ เรียกว่า "นีโอ บลายธ์" ราคาจำหน่ายระหว่าง 60-300 ดอลลาร์สหรัฐ เวลาขายทอดตลาดจะได้ราคาไม่ต่ำไปกว่าราคาซื้อ ยังไงก็ได้กำไร ยิ่งถ้าเป็นรุ่นที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัดก็ยิ่งได้ราคาดี ทำให้ช่วงนั้นตุ๊กตาบลายธ์ราคาพุ่งสูงถึงหลักหมื่นปลายๆ จนถึงเกือบแสนบาทเลยทีเดียว แต่ปัจจุบัน กระแสบลายธ์ในไทยเงียบไปแล้ว อาจเหลือเพียงกลุ่มนักสะสมวงแคบๆ ไม่ได้หวือหวาคึกคักอะไรแล้ว

3. ตุ๊กตาเฟอร์บี้
d"ตุ๊กตาเฟอร์บี้" เข้ามาเป็นตุ๊กตาสะสมสุดฮิตในไทยหลังจากตุ๊กตาบลายธ์ได้ไม่นาน มีลักษณะเป็นของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ คนเล่นจะเลี้ยงเฟอร์บี้เป็นสัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์ไฮเทค ลักษณะของเฟอร์บี้ จะเป็นตุ๊กตาตัวสั้นๆ หน้าตาเหมือนหนูแฮมสเตอร์ผสมกับนกฮูก มีขนปุกปุยนุ่มฟูสีสันสดใสฉูดฉาด รุ่นใหม่ๆมีตาเป็นจอ LED ที่สามารถขยับตา ขยับปากพูดโต้ตอบ เต้นหรือแสดงอารมณ์สื่อสารกับเจ้าของได้ ซึ่งการที่เฟอร์บี้ตอบสนองต่อเสียงและการสัมผัส ก็มาจากการใช้เทคโนโลยีที่ทำให้เฟอร์บี้สามารถพูดคุยและโต้ตอบกับผู้เล่นได้นั่นเอง โดยสั่งการและควบคุมผ่านทางแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน (แต่รุ่นหลังๆ ไม่ต้องมีแอปฯ แล้ว)

โดยยุคแรกๆ ภาษาที่เฟอร์บี้ใช้พูดจะเป็นภาษาเฉพาะตัวของเฟอร์บี้ เรียกว่า ภาษาเฟอร์บิช (furbish) ทำให้เฟอร์บี้ กลายเป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำของผู้คน โดยระหว่างนั้นก็มีการพัฒนาแปลภาษาที่หลากหลายขึ้นจนทั้งหมดมีประมาณ 14 ภาษา ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตเฟอร์บี้ก็พยายามพัฒนาเฟอร์บี้รุ่นใหม่ๆให้มีความทันสมัยและมีฟังก์ชันมากขึ้น ตามพัฒนาการของเทคโนโลยี ในช่วงที่เฟอร์บี้ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย ราคาของเฟอร์บี้สูงขึ้นมากเนื่องจากมีความต้องการสูงรวมถึงมีการนำเข้ามาจำนวนจำกัด ราคาจะอยู่ที่หลักหลายพันจนเกือบถึงหลักหมื่นบาท อย่างไรก็ตาม กระแสของเฟอร์บี้ในไทยดูเหมือนจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่อาจฮิตกับคนเฉพาะกลุ่มมากกว่า

4. ตุ๊กตาลูกเทพ
rในยุคแรกๆที่คนไทยเริ่มมูเตลูกับอะไรต่ออะไรที่หลากหลายมากขึ้น โดยไม่จำกัดอยู่แค่กับเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ หรือตุ๊กตาหุ่นปั้นตัวเล็กๆที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ ก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกันกับที่เกิดกระแสคนไทยเลี้ยง "ตุ๊กตาลูกเทพ" ซึ่งมีลักษณะเป็นตุ๊กตาเด็กวัยประมาณ 2-3 ขวบ เรียกได้ว่าเป็นตุ๊กตาที่มาพร้อมความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ดังเปรี้ยงแซงทุกความมูเตลูในสมัยนั้นไปเลย ทำให้ช่วงเวลาสั้นๆในตอนนั้น เราสามารถเห็นคนอุ้มตุ๊กตาลูกเทพที่แต่งตัวสวยงามไปไหนมาไหนด้วยเสมอ อุ้มกันประหนึ่งเป็นกระเป๋าสะพายที่ใช้สำหรับใส่ของติดตัวไปไหนมาไหนเลยก็ว่าได้ รวมถึงคนดังจำนวนมากก็ไปหามาบูชา เลี้ยงดูปูเสื่อน้องอย่างดี เปรียบดั่งกุมารทองยุคไฮเทคก็ไม่ปาน

กระแสการเลี้ยงดูน้องตุ๊กตาลูกเทพ เกิดขึ้นหลังจากที่หมอดูชื่อดังคนหนึ่งเก็บตุ๊กตาเด็กผู้หญิงกลับบ้าน เพราะได้ยินเสียงจากตุ๊กตาว่าขอไปอยู่ด้วย จากนั้นมาน้องตุ๊กตาลูกเทพก็มอบแต่สิ่งดีๆ ส่วนผู้ที่ศรัทธาไปหามาเลี้ยงดูเหมือนลูก ก็เชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติที่สิงสู่อยู่ในตุ๊กตา โดยจะดลบันดาลโชคลาภสวัสดิภาพต่างๆมาให้ ช่วยเรื่องการทำมาค้าขาย หรือจะช่วยเฝ้าบ้านก็ยังได้ ตุ๊กตาลูกเทพที่ขลังมากๆจะต้องผ่านพิธีการปลุกเสกจากวัดหรือเกจิดังๆ ทำให้ตุ๊กตาลูกเทพกลายเป็นเครื่องรางแฟชั่นที่ได้รับความนิยมสูง และมีราคาสูงมากๆ ในยุคนั้น มีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท แต่ไม่นานนัก ผู้คนก็เสื่อมศรัทธาในลูกเทพจนเลิกเห่อ และนำลูกเทพไปทิ้งที่วัดหลายร้อยตัว

5. Murakami Flower
m"Murakami Flower" หรือดอกมุราคามิ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เคยฮิตมากๆในช่วงหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นตุ๊กตาก็เรียกไม่เต็มปาก เพราะมันเป็นเข็มกลัดดอกไม้ต่างหาก โดยดอกมุราคามิ เป็นผลงานการออกแบบของชายชาวญี่ปุ่น "ทาคาชิ มุราคามิ (Takashi Murakami)" โดยเขาใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อของดอกไม้ที่เขาออกแบบตรงตัว ลักษณะจะเป็นเข็มกลัดดอกไม้หน้ายิ้ม มีหลายสี สีรุ้งก็มี โดยสีรุ้งจะแรร์ไอเทมมากที่สุด รวมถึงหายากที่สุดด้วย โดยดอกมุราคามินี้มีความหมายด้วย สื่อถึงบาดแผลทางจิตใจและอารมณ์อันมืดมนที่ชาวญี่ปุ่นยังคงประสบอยู่ จากเหตุระเบิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในปี ค.ศ. 1945

ก่อนที่ดอกไม้หน้ายิ้มแฉ่งนี้จะมาโด่งดังในประเทศไทย ดอกมุราคามิเริ่มปรากฏตัวอยู่กับเหล่าคนดัง โดยเฉพาะไอดอล K-POP อย่าง "G-Dragon" ลีดเดอร์วง Bigbang ที่ได้นำดอกมุราคามิไปประดับบนเสื้อแล้วดูเท่ ดูเป็นไอเทมไฮแฟชั่น ทำให้คนที่อยากโชว์ความไฮเอนด์ก็เสาะหาซื้อตามโดยไม่สนราคา ส่วนในไทย เป็นกระแสขึ้นมาเมื่อสมาชิกวง BNK48 นำมาใช้ และนักแสดงที่ถือว่าเป็นตัวพ่อตัวแม่ด้านแฟชั่นนำมาใช้ คนไทยก็เริ่มตามหานับแต่นั้นมา ทำให้ราคาของดอกมุราคามิพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เป็นกระแสฟีเวอร์มากๆ ราคาของดอกมุราคามิพุ่งไปหลายพันบาทเลยทีเดียว

ดอกมุราคามิ เคยปรากฎอยู่ในสินค้าแฟชั่นและแบรนด์ระดับโลกหลายแบรนด์ เช่น Louis Vuitton, Vans, Supreme, Casio G-Shock, Issey Miyake, Kaws และ Uniqlo ของญี่ปุ่น และในปัจจุบัน ดอกมุราคามิหน้ายิ้มก็เสื่อมความนิยมลงไปแล้ว แทบไม่เห็นใครติดเข็มกลัดดอกไม้นี่อีกเลย

6. หมีแบร์บริค
cก่อนที่น้องหมีเนยจะมา คนไทยหลายคนก็เคยฮิตน้องหมีอื่นๆกันมาก่อน หนึ่งในนั้นคือ "หมีแบร์บริค" ซึ่งเป็นตุ๊กตาฟิกเกอร์รูปหมีผสมเลโก้ ผลิตโดย MediCom Toy Incorporated บริษัทผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นของที่ระลึกในงาน World Character Convention ครั้งที่ 12 ซึ่งใครกันที่จะรู้ล่ะว่าของที่ระลึกแจกฟรีที่มีจำนวนจำกัด จะกลายมาเป็นของสะสมที่สามารถอัปมูลค่าจนราคาแพงหูฉี่ได้ถึงขนาดนี้

จากของที่ระลึกที่แจกให้แขกในงานในวันนั้น ดันได้รับความนิยมและจุดติดกระแสเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา โดยแบร์บริคได้ไปคอลแลบส์กับแบรนด์ชั้นนำต่างๆมากมาย ซึ่งการผลิตตุ๊กตาของแบรนด์ออกมาในรูปแบบของสินค้า Limited Edition ที่มีจำนวนจำกัด ก็ยิ่งทำให้ตุ๊กตาแบร์บริครุ่นนั้นๆกลายเป็นของแรร์ไอเทม ยิ่งเพิ่มมูลค่าและทำให้ชื่อเสียงของแบร์บริคโด่งดังมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แบร์บริคก็มักจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับศิลปะ แฟชั่น สตรีตอาร์ต ดนตรี และความหลากหลายทางวัฒนธรรมด้วย

แบร์บริค กลายเป็นตุ๊กตาราคาแพง เป็นที่รู้จักและโด่งดังในวงการนักสะสมของเล่นแทบทั่วทุกมุมโลก ส่วนหนึ่งคือด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่หัวเป็นหมี ตัวเป็นเลโก้พุงโต ขยับแขนขา และ (ตั้ง) ยืนได้ ในแต่ละปี แบร์บริคจะออกคอลเลกชันใหม่ปีละ 2 ครั้ง จะมีการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการครีเอทีฟจากทั่วโลกร่วมออกแบบ รวมทั้งการคอลแลบส์กับแบรนด์ต่างๆ ทำให้แบร์บริคเป็นตุ๊กตาหมีที่มีคอนเซปต์หลากหลายและมีความน่าสนใจ ทว่าถูกผลิตออกมาในจำนวนจำกัด ในแต่ละซีรีส์ เมื่อจำหน่ายหมดแล้วก็จะไม่มีการผลิตเพิ่ม อีกทั้งแบร์บริคในบางซีรีส์ก็ยังมีการวางจำหน่ายแค่เฉพาะบางประเทศหรือจำหน่ายแบบพรีออเดอร์ในเวลาที่จำกัดเท่านั้น

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น แบร์บริคยังมีการขายแบบ Blind Box (กล่องทึบ) ที่ทำให้ได้ลุ้นของข้างในว่าจะได้ลวดลายไหน ทำให้เกิดความสนุกในการสะสม เพราะต้องไปลุ้นเอาว่าจะได้รุ่นอะไร สีใด ถ้าไปเจอตัว Secret Types ของแต่ละซีรีส์ที่หาได้ยากแบบสุดๆที่มีโอกาสเจอเพียง 0.52% เท่านั้น ก็ยิ่งทำให้แบร์บริคยิ่งแรร์มากกว่าเดิม แบร์บริคลายหายาก เมื่อเข้าสู่ตลาดรีเซลแล้วก็จะมีราคาพุ่งสูงไปอีกหลายเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แบร์บริคจะมีราคาเริ่มต้นที่หลักหมื่น โดยเฉพาะตัวละครลับและรุ่นหายากสามารถเริ่มต้นที่หลักแสน ปัจจุบันแบร์บริคตัวที่แพงที่สุด คือ Yue Minjun ‘Qiu Tu’ 1000% BE@RBRICK ซึ่งถูกประมูลไปในราคา 181 ล้านบาทเลยทีเดียว

7. หมีแคร์แบร์
pอีกหนึ่งหมีที่กลายเป็นตุ๊กตายอดฮิตที่เหล่าคนดังและสาวกตุ๊กตาต่างชื่นชอบจนต้องไปตามหามาเก็บสะสมกันเป็นจำนวนมาก ก็คือ "หมีแคร์แบร์" ด้วยความน่ารักและคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้คนแสดงอารมณ์และแบ่งปันความรู้สึกกับผู้อื่น โดยแต่ละตัวจะถูกตั้งชื่อตามความรู้สึกต่างๆ มีโทนสีและสัญลักษณ์พิเศษแตกต่างกันไปเป็นเอกลักษณ์ตรงบริเวณหน้าท้องของตุ๊กตา ที่แคร์แบร์แต่ละสี แต่ละสัญลักษณ์จะมีความหมายและสื่อถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป เป็นตัวแทนของตัวตน ความรู้สึกต่างๆ

อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นของแคร์แบร์ไม่ได้เป็นตุ๊กตามาตั้งแต่แรก แต่เป็นตัวการ์ตูนหมีบนการ์ดอวยพรของ American Greetings บริษัทผลิตการ์ดอวยพรในสหรัฐอเมริกา ออกแบบและวาดขึ้นโดย Elena Kucharik นักวาดภาพประกอบหนังสือเด็ก แคร์แบร์ในการ์ดอวยพรได้รับความนิยมอย่างมาก จนทำให้คาแรกเตอร์แคร์แบร์ถูกนำไปสร้างเป็นสื่อบันเทิง เช่น ภาพยนตร์ และการ์ตูนทางโทรทัศน์ ตลอดจนสินค้าอื่นๆมากมาย รวมถึงผลิตออกมาเป็นตุ๊กตาหมีหลากสี โดยแคร์แบร์มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน ขึ้นอยู่กับขนาดของแคร์แบร์ แต่แคร์แบร์รุ่นแรกๆ สีหายาก หรือผลิตมานานแล้ว จะกลายเป็นของสะสมที่มีราคาสูงถึงหลักหมื่นบาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook