ชายป่วยมะเร็งตับ ไม่เจ็บไม่ปวดแต่ตรวจพบเนื้องอก 20 ซม. อาการมีแค่ "สะอึก"
ชายป่วยมะเร็งตับ ไม่เจ็บไม่ปวดแต่ตรวจพบเนื้องอก 20 ซม. อาการที่มาหาหมอมีแค่ "สะอึก" เฉลยสาเหตุเกี่ยวกันยังไง
อาการสะอึกเป็นปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ บางครั้งอาการสะอึกเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารมากเกินไป หรืออาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส แต่แพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารได้แแชร์เคสของชายวัย 60 ปี รายหนึ่งที่มีอาการสะอึกตลอดทั้งวัน หลังจากรักษาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เขาตัดสินใจไปพบแพทย์อย่างจริงจัง ผลปรากฏว่าพบก้อนเนื้องอกในตับขนาด 20 เซนติเมตร อาการสะอึกเกิดจากมะเร็งตับที่โตขึ้นจนไปกดทับกระเพาะอาหารและทำให้เยื่อบังลมระคายเคือง
ศาสตราจารย์เฉียนเจิ้งหง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารและตับ จากโรงพยาบาลชางกุง เมืองเกาลุง ได้กล่าวว่า ในบรรดา 10 อันดับสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปี 2566 คือมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งหลอดอาหาร เป็นต้น
ศาสตราจารย์เฉียนเจิ้งหงยังได้แบ่งปันกรณีหนึ่งที่เขาได้พบเจอ โดยกล่าวว่า เมื่อชายคนหนึ่งไปพบแพทย์ เขาได้บ่นเรื่องอาการสะอึกทันทีที่ดื่มน้ำ ยกเว้นตอนนอนหลับ อาการสะอึกจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและกินเวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์ ทำให้เขาทนไม่ไหวและตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากแพทย์
ในระหว่างการตรวจร่างกาย ศาสตราจารย์เฉียนเจิ้งหง พบก้อนเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือในช่องท้องส่วนบนของชายคนนั้น หลังจากการสแกนด้วยคอมพิวเตอร์ยืนยันว่ามีเนื้องอกในตับขนาด 20 เซนติเมตร เนื้องอกไปกดทับกระเพาะอาหารและเยื่อบังลม ทำให้เกิดอาการสะอึก ศาสตราจารย์เฉียนเจิ้งหงยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ตับเองไม่มีเส้นประสาท ดังนั้นเซลล์มะเร็งจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อมันเติบโตขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาการปวดและความรู้สึกไม่สบายจะเกิดขึ้นเมื่อเนื้องอกในตับแตก และมีเลือดออกหรือโตเกินไปและไปกดทับอวัยวะและเนื้อเยื่ออื่นๆ
ภาวะไขมันพอกตับอักเสบเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ เมื่อไขมันในตับมีสัดส่วนมากกว่า 5% ของน้ำหนักรวมของตับ เราเรียกว่าไขมันพอกตับ กองทุนวิจัยมะเร็งโลกชี้ให้เห็นว่า โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับไขมันพอกตับ และเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มอาการเมตาบอลิซึม ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบของตับหรือความเสียหายของตับ ไขมันส่วนเกินในร่างกายก็เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเรื้อรังหลายชนิด โดยเตือนประชาชนว่าหากพบว่าตนเองเป็นโรคไขมันพอกตับ อันดับแรกต้องปรับนิสัยการใช้ชีวิต รับประทานอาหารที่สมดุล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และได้รับการรักษาอย่างเป็นทางการ ติดตามดัชนีตับและอัลตราซาวนด์ช่องท้องอย่างสม่ำเสมอ