เมียเอะใจ ผัวเปลี่ยนไปหลังบอกว่าท้อง แอบดูแชตในมือถือแทบอ้วก ชู้คือคนใกล้ตัวมาก

เมียเอะใจ ผัวเปลี่ยนไปหลังบอกว่าท้อง แอบดูแชตในมือถือแทบอ้วก ชู้คือคนใกล้ตัวมาก

เมียเอะใจ ผัวเปลี่ยนไปหลังบอกว่าท้อง แอบดูแชตในมือถือแทบอ้วก ชู้คือคนใกล้ตัวมาก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมียสงสัย ผัวพฤติกรรมเปลี่ยน หลังบอกคราวดีว่ากำลังตั้งครรภ์ แอบดูแชตเจอเรื่องช็อก ชู้คือคนใกล้ตัวมาก ก่อนแก้แค้นครั้งใหญ่ด้วยวิธีนี้

การนอกใจเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อยู่แล้ว แต่การถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจถึง 2 คน นั้นยิ่งยากที่จะรับได้ หญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน รายหนึ่ง ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองบนโลกออนไลน์ ว่าหลังจากที่ประกาศข่าวดีว่ากำลังตั้งครรภ์ สามีก็เริ่มมีท่าทีเย็นชา เมื่อมีโอกาสขณะที่สามีอาบน้ำ เธอจึงตรวจสอบโทรศัพท์ของเขา และพบว่าเขามีชู้ แถมชู้รักของเขานั้นเป็นคนใกล้ตัวเธอมาก

เว็บไซต์ HK01 รายงานว่า หญิงสาววัย 26 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ได้โพสต์ใน Reddit เล่าว่า พ่อของเธอเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นแม่ของเธอวัย 52 ปี บอกว่าพ่อเป็นรักนิรันดร์และรักเดียว และปฏิเสธที่จะมีความสัมพันธ์กับใครอีก ดูเหมือนว่าแม่ของเธอจะซื่อสัตย์ต่อพ่อมาก ต่อมาเธอได้ค้นพบความลับของแม่ ว่าแม่ของเธอกำลังมีรักครั้งใหม่ และได้ลืมความเศร้าจากการสูญเสียสามีไปนานแล้ว

เจ้าของโพสต์ เล่าว่า หลังจากรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ เธอจึงบอกข่าวดีนี้กับสามีวัย 30 ปี ซึ่งตอนนั้นสามีแสดงความดีใจมาก เธอจึงตัดสินใจว่าจะประกาศข่าวดีนี้กับครอบครัวในช่วงคริสต์มาส แต่หลังจากนั้นไม่นาน สามีก็เริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เหมือนเดิมที่เคยกอดและจูบเธอ

และยังเลิกกินข้าวที่เธอทำให้หลังเลิกงาน โดยอ้างว่ากินอิ่มแล้วจากข้างนอก สามียังเปลี่ยนรูปภาพหน้าจอโทรศัพท์จากที่เคยเป็นรูปคู่ของทั้งสองคน ทำให้เจ้าของโพสต์รู้สึกแปลกใจว่าทำไมสามีถึงเปลี่ยนรูป และเริ่มสงสัยว่าสามีอาจกำลังนอกใจ

ขณะที่สามีกำลังอาบน้ำ เจ้าของโพสต์ได้ตรวจสอบโทรศัพท์ของเขา และพบรูปถ่ายแม่ของเธอที่สวมชุดชั้นใน เธอยังพบว่าสามีส่งรูปอวัยวะเพศของตัวเองกลับไปหาแม่ของเธออีกด้วย สามีของเธอเขียนว่าไม่อยากทำร้ายภรรยา และบางทีพวกเขาควรหยุดความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมนี้

แต่แม่ของเธอตอบกลับว่า ถ้าพวกเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เจ้าของโพสต์จะไม่ต้องเจ็บปวด และยังบอกว่า “ฉันรักคุณ มากกว่าที่คุณคิดเสียอีก” และ “คุณช่วยให้ฉันผ่านความเศร้าจากการสูญเสียสามีไปได้” อีกทั้งยังยอมรับว่าเคยคิดว่าจะไม่มีใครรักเธออีกแล้ว แต่ลูกเขยทำให้เธอเรียนรู้ที่จะรักตัวเองอีกครั้ง

เจ้าของโพสต์จำได้ว่าวันที่แม่ของเธอส่งข้อความนั้น สามีของเธออ้างว่าต้องทำงานล่วงเวลา และกลับถึงบ้านตอนประมาณตี 1 เธอคาดว่าคืนนั้นทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน โดยเธออธิบายว่า “อ่านแล้วรู้สึกอยากอาเจียน” เธอจึงส่งต่อหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปยังโทรศัพท์ของตัวเอง พร้อมกับลบหลักฐานทั้งหมดออกจากโทรศัพท์ของสามี

หลังจากนั้นเมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน เธอก็เผชิญหน้ากับเขาทันที สามีของเธอพยายามปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อเธอแสดงหลักฐานทั้งหมดให้ดู เขาก็ร้องไห้และคุกเข่าขอโทษ พร้อมกับลูบท้องของเธอและขอร้องว่าไม่อยากให้ลูกเติบโตขึ้นโดยไม่มีพ่อ แต่เจ้าของโพสต์ได้ตัดสินใจแล้ว เธอบอกสามีว่าเธอกำลังติดต่อทนายความเพื่อขอหย่า และได้เก็บของใช้ส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะย้ายไปพักที่โรงแรมแถวบ้าน

สามีของเธอส่งข้อความมาขอโทษอยู่ตลอดเวลา สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจเจ้าของโพสต์อีก และจะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับแม่ยาย แต่เจ้าของโพสต์ไม่สนใจ เธอยังส่งข้อความไปหาแม่ของเธอ แจ้งเรื่องการตั้งครรภ์และส่งหลักฐานทั้งหมดไปให้ พร้อมระบุว่าแม่จะไม่มีวันได้เจอหลานอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เจ้าของโพสต์ยังโอนเงินจากบัญชีร่วมกับสามีไปยังบัญชีออมทรัพย์ส่วนตัวของเธอ และสอบถามเพื่อนผู้หญิงว่าเธอสามารถไปพักอยู่ด้วยสัก 2-3 วันได้หรือไม่ ซึ่งเพื่อนก็ตอบตกลง เธอจึงไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของเพื่อนผู้หญิงคนดังกล่าว ซึ่งทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นทุกวัน

แต่แม่ของเธอได้ตอบกลับมาขอโทษ โดยบอกว่าเธอยังคงรักเจ้าของโพสต์อย่างลึกซึ้ง แต่คิดว่าเจ้าของโพสต์ไม่ควรพรากสิทธิ์ในการพบหลานของเธอออกไป พร้อมเน้นย้ำว่าหากไม่มีสามีและแม่ การเลี้ยงดูลูกอาจจะเป็นเรื่องยาก

เจ้าของโพสต์ยังคงยืนยันในความคิดของตัวเอง และได้บอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเพื่อนที่เธอพักอยู่ด้วยฟัง ซึ่งเพื่อนได้ช่วยเธอในการจัดการปัญหา และเธอกำลังมองหาที่พักใหม่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และดูแลลูกด้วยตัวเอง

ขณะที่ชาวเน็ตหลายคนต่างสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้าของโพสต์ และเข้ามาแสดงความคิดเห็น อาทิ “สามีไปกินข้างนอกแล้วกลับบ้าน”, “พวกเขาทำผิดเยอะ แต่เธอควรทำตามใจตัวเอง”, “พ่อและยายแบบนี้ไม่ต้องมีได้”, “สนับสนุนการหย่า ให้พวกเขาไปอยู่ด้วยกันเถอะ!”

ทั้งนี้ เรื่องราวของหญิงรายนี้ถูกโพสต์เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งถูกนำมาแชร์อีกครั้งในช่วงนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook