เปิดคำพิพากษาเต็มคดี #ฝรั่งเตะหมอ อ่านแล้วเข้าใจ เหตุใดศาลจึงยกฟ้อง
จากกรณีศาลแขวงภูเก็ต นัดอ่านคำพิพากษาคดี พนักงานอัยการคดีศาลแขวง และ พญ.ธารดาว หรือ หมอปาย เป็นโจทก์ และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างภูเก็ต ในคดีทำร้ายร่างกาย กรณีเตะเข้าที่หลังหมอปาย พร้อมตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย ขณะนั่งบันไดหน้าวิลล่าหรู ชายหาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา
คดีทั้ง 2 สำนวนนี้ ศาลสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยสำนวนแรกพนักงานอัยการคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกาย น.ส.ธารดาว ผู้เสียหาย โดยเตะบริเวณหลังหนึ่งครั้งเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฟกช้ำบริเวณหลังส่วนบนโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
สำนวนที่ 2 น.ส.ธารดาว เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ น.ส.ธารดาว มีอาการทางจิตประสาทโศกเศร้าเสียใจ ซึ่งเป็นอาการทางจิตเวชโดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD (โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ) ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ศาลให้เรียกพนักงานอัยการคดีศาลแขวงว่า โจทก์ที่ 1 และเรียก น.ส.ธารดาว ว่า โจทก์ที่ 2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ที่ 2 ประกอบกับคลิปวิดีโอตามวัตถุพยาน
ปรากฏว่ามีความแตกต่างและไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เนื่องจากตามคลิปวิดีโอปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 หันหน้ามาทางข้างขวาและเหลียวหลังมองไปทิศทางที่จำเลยกำลังเดินตรงมาที่โจทก์ที่ 2 จึงเชื่อว่าหากจำเลยเตะโจทก์ที่ 2 จริง
โจทก์ที่ 2 และ น.ส.ศุกาญจน์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันย่อมน่าจะเห็นเหตุการณ์และยืนยันได้หนักแน่นว่าจำเลยเตะทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 โดยมีลักษณะและรายละเอียดการเตะอย่างไรกันแน่ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟในสวน จากดวงจันทร์เต็มดวงเพียงพอที่พยานโจทก์จะมองเห็นและจดจำเหตุการณ์ได้
แต่โจทก์ที่ 2 กลับไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงถึงการถูกทำร้ายร่างกายนั้นได้ อันเป็นข้อพิรุธให้น่าสงสัย นอกจากนี้ตามคลิปวิดีโอวัตถุพยานก็ไม่ปรากฎภาพเหตุการณ์ที่แสดงถึงจำเลยใช้เท้าเตะโจทก์ที่ 2 จนมีลักษณะคะมำไปด้านหน้าดังที่โจทก์ที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวน
แต่กลับปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 สามารถลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากที่เกิดเหตุได้อย่างปกติ อันขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ที่ 2 ทั้งไม่สมเหตุสมผล เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรูปร่างของจำเลยที่เป็นคนสูงใหญ่กว่าโจทก์ที่ 2 มาก
ประกอบกับโจทก์ที่ 2 กับจำเลยไม่เคยรู้จักกันหรือมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดีไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และจำเลยมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันก่อน และปกติบุคคลทั่วไปเมื่อถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันย่อมต้องสอบถามมูลเหตุที่ทำร้ายตน แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในชั้นพิจารณา
นอกจากนี้พยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนยังเบิกความอีกว่า ตำแหน่งที่โจทก์ที่ 2 นั่งบนบันไดขั้นที่สองนับจากด้านล่าง หากจำเลยยืนอยู่บันไดขั้นบนสุดจะไม่สามารถเตะถึงโจทก์ที่ 2 ได้ และหากจำเลยเดินลงมาอีกหนึ่งถึงสองขั้นบันไดย่อมประชิดตัวโจทก์ที่ 2 ซึ่งโจทก์ที่ 2 และนางสาวศุภกาญจน์ต้องเห็น เหตุการณ์เป็นอย่างดี
อีกทั้งพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์ทั้งสองไม่มีพยานปากใดให้การยืนยันว่า จำเลยรับต่อพยานว่าได้เตะโจทก์ที่ 2 ทั้งหลังเกิดเหตุมีการไกล่เกลี่ยในที่เกิดเหตุจำเลยก็ปฏิเสธต่อ ตำรวจของสถานีตำรวจภูธรถลางว่า ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2
สำหรับรายละเอียดบาดแผล ของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองมีพยานปากแพทย์ออกผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเบิกความว่า พยานไม่ได้ตรวจร่างกายโจทก์ที่ 2 เพียงแต่ดูลักษณะบาดแผลจากภาพถ่ายและข้อมูลที่พยาบาลบันทึกไว้เท่านั้น โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำพยาบาล ซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปบาดแผลของโจทก์ที่ 2 มาเบิกความยืนยันและมิได้ส่งภาพถ่ายบาดแผลและประวัติการรักษาทางเวชระเบียน ซึ่งโจทก์ที่ 2 เข้าทำการรักษาก่อนออกผลการตรวจทางนิติเวช โดยภาพถ่ายบาดแผลจำเลยเป็นฝ่ายอ้างเป็นพยาน
ดังนั้น ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลจึงยังมีข้อพิรุธให้สงสัย
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองที่นำสืบมาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ส่วนที่โจทก์ที่ 2 อ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 รับอันตรายแก่จิตใจโดยป่วยเป็นโรค PTSD เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ดังวินิจฉัยข้างต้น ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายแก่จิตใจหรือไม่ จึงย่อมไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
นอกจากนี้ที่โจทย์ที่ 2 อ้างว่าป่วยเป็นโรค PTSD จำเลยนำสืบหักล้างและมีพยานปากผู้เชี่ยวชาญซึ่งศาลหมายเรียกมาให้ความเห็นเป็นหนังสือและมาเบิกความประกอบ มีความเห็น ตรงกันว่า การวินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD บุคคลนั้นต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ซึ่งเหตุการณ์ที่โจทก์ที่ 2 ได้รับมาตามที่กล่าวอ้างนั้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าวพิพากษายกฟ้อง