ลูกชายหายไป 23 ปี รายการทีวีหาตัวเจอ ประกาศกร้าวตัดขาดพ่อแม่ รู้อดีตแล้วเห็นใจ
ลูกชายหายไป 23 ปี รายการทีวีหาตัวเจอ ประกาศกร้าวตัดขาดพ่อแม่ รู้อดีตแล้วเห็นใจ เจ็บปวดเกินกว่าจะให้อภัยครอบครัว
เรื่องราวดราม่าครอบครัวที่ยิ่งกว่านิยาย ซึ่งถูกเปิดเผยเมื่อปี 2017 ถูกนำกลับมาแชร์อีกครั้งในโลกออนไลน์ของจีนและเวียดนาม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สาธารณรัฐประชาชนจีน สามีวัย 84 และภรรยาวัย 79 ปี ติดต่อทีมผลิตรายการโทรทัศน์ เพื่อให้ช่วยตามหา "หวงเสี่ยวไห่" ลูกชายที่หายออกจากบ้านไปนานกว่า 23 ปี ทั้งพ่อและแม่อยู่ในวัยชรา ความปรารถนาเดียวของพวกเขาคือได้พบลูกชายอีกครั้ง แต่ข้อมูลของลูกชายที่ผู้เป็นพ่อแม่ให้กับทีมงานมีน้อยเกินไป และเวลาก็ผ่านไปนาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีรูปถ่ายหรือข้อมูลการติดต่อใด ๆ เหลือเพียงจดหมายลาสองฉบับที่หวงเสี่ยวไห่ทิ้งไว้ก่อนเขาจากไป
ทีมงานจึงตัดสินใจขยายการค้นหา โดยกระจายข้อมูลไปทั่วประเทศและโพสต์รูปถ่ายของหวงเสี่ยวไห่กับพ่อแม่ของเขาไว้บนเว็บไซต์ของรายการ นอกจากนี้ยังส่งทีมไปปักกิ่งเพื่อตรวจสอบ เนื่องจากหวงเสี่ยวไห่เคยบอกว่าเขาจะทำงานที่นั่น
ในที่สุดก็มีความคืบหน้า พวกเขาพบชายคนหนึ่งที่วัยใกล้เคียงและข้อมูลตรงกัน หลังจากยืนยันแล้วทีมงานจึงได้ข้อสรุปว่าคนนี้คือ หวงเสี่ยวไห่
เมื่อทีมงานอธิบายว่าทำไมถึงตามหาตัวเขา หวงเสี่ยวไห่ก็แสดงความไม่พอใจอย่างมาก เขาไม่ต้องการพบพ่อแม่และไม่อยากปรากฏตัวในรายการ ทีมงานพยายามเกลี้ยกล่อมหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม หวงเสี่ยวไหรู้สึกเกลียดชังพ่อแม่ของเขามาก และแจ้งทีมงานหลายครั้งว่าเขาได้ตัดขาดจากครอบครัวแล้ว เขาได้เล่าประสบการณ์ชีวิตตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจออกจากครอบครัว
พ่อแม่สร้างบาดแผลจนเกินรับไหว
ในปี 1994 หวงเสี่ยวไห่ นักศึกษาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยหนานจิง ตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดและครอบครัวไปอย่างเงียบ ๆ โดยทิ้งจดหมายลาไว้สองฉบับ แม้ว่าจะมีโอกาสทำงานที่ดีและชีวิตที่พ่อแม่วางแผนไว้ แต่เสี่ยวไห่เลือกหนีจากการถูกควบคุมโดยพ่อที่เข้มงวดตลอดชีวิต
พ่อของเสี่ยวไห่ หวงหลินเซิน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยหนานจิง ใช้วิธีเลี้ยงดูลูกที่เข้มงวดและคาดหวังสูง ตั้งแต่การเรียนจนถึงชีวิตส่วนตัว เสี่ยวไห่ถูกบังคับให้ทำตามแผนที่พ่อกำหนด แม้จะประสบความสำเร็จในด้านการเรียน แต่ความกดดันสะสมทำให้เสี่ยวไห่ตัดสินใจตัดขาดจากครอบครัว
ตั้งแต่เกิด หวงเสี่ยวไห่ถูกสั่งอย่างเข้มงวดว่าจะต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร โชคดีที่เขาเป็นเด็กเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย เมื่อเสี่ยวไห่โตขึ้น ความขบถภายในค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเสี่ยวไห่ต้องการให้เขาเติบโตเป็นเสาหลักของประเทศ ไม่ใช่แค่เด็กที่เล่นสนุกกับเพื่อนบ้าน
ครั้งหนึ่งในขณะที่เล่น เสี่ยวไห่บังเอิญทำของในบ้านคนอื่นพัง ทำให้พวกเขามาตำหนิเขาที่บ้าน สิ่งนี้ทำให้พ่อของเขาโกรธ หลังจากนั้นเขาบังคับให้ลูกชายคุกเข่าหน้าประตู เนื่องจากทุกคนอาศัยอยู่ในตรอกเดียวกัน เพื่อนบ้านทุกคนจึงรู้จักกัน และในตอนนั้นเสี่ยวไห่ยังเด็ก การคุกเข่าอยู่นอกบ้านและถูกคนอื่นเห็นทำให้จิตใจของเขาบอบช้ำอย่างมาก
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ในช่วงหลายปีที่เรียน พ่อของเขายิ่งเข้มงวดขึ้น โดยบังคับให้เขาเขียนตัวอักษรแต่ละตัวอย่างแม่นยำถึงรายละเอียดเล็กที่สุด แต่คนเราไม่ใช่เครื่องจักร จึงไม่สามารถเขียนทุกตัวอักษรได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเสี่ยวไห่เขียนไม่ถูกต้องตามที่พ่อกำหนด เขาจะถูกบังคับให้เขียนใหม่อย่างโกรธเกรี้ยว และหากเขากล้าโต้เถียงก็จะถูกตบ ในเวลานั้นเสี่ยวไห่มักจะมีรอยตบที่ใบหน้าและต้องทนทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เบื้องหลังขมขื่นของเด็กเรียนดี
เสี่ยวไห่คิดว่าเมื่อเข้าเรียนมัธยมปลายและอาศัยอยู่ในหอพัก พ่อแม่จะไม่สามารถควบคุมเขาได้อีก แต่เขาก็พบว่าการควบคุมของพ่อแม่นั้นมากเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้
พ่อของเขาจะติดต่อครูประจำชั้นและครูทุกวิชาเพื่อสอบถามเรื่องลูกชายของเขา รวมทั้งควบคุมการรับประทานอาหารประจำวันของเขาด้วย หากเขากินข้าวไม่หมดสองชาม เสี่ยวไห่จะถูกด่าว่า สิ่งนี้ทำให้เสี่ยวไห่พยายามกินข้าวจนเต็มท้องจนต้องเดินนานเพื่อย่อยอาหาร แต่ถ้าเดินนานเกินไป พ่อของเขาก็จะด่าว่านี่จะส่งผลเสียต่อเวลาเรียน
ภายใต้แรงกดดันจากพ่อ เสี่ยวไห่ต้องรักษาความเข้มข้นในการเรียนในระดับสูงทุกวัน เกรดของเขามักจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของชั้นเรียน หากมีสัญญาณของการตกต่ำใด ๆ เสี่ยวไห่จะถูกขอให้ทำการบ้านเพิ่มเติม
นอกจากการควบคุมการเรียนแล้ว สิ่งที่เสี่ยวไห่ยอมรับไม่ได้มากกว่านี้คือการควบคุมชีวิตส่วนตัวของเขา ในตอนนั้นมีเด็กหญิงคนหนึ่งในชั้นเรียนของเสี่ยวไห่ที่เก่งมาก และพ่อของเขาคิดว่าเธอเหมาะสมที่จะเป็นลูกสะใภ้ พ่อของเขาขอให้เสี่ยวไห่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหญิงคนนั้นบ่อย ๆ หวังว่าพวกเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ว่าเสี่ยวไห่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เสี่ยวไห่คิดว่าเขาจะสามารถหลุดพ้นจากพ่อแม่และโบยบินได้ แต่พ่อของเขาได้เลือกเส้นทางไว้ให้แล้ว
พ่อลงทะเบียนเรียนให้เขาในภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยหนานจิง ซึ่งพ่อของเขาสอน โดยไม่ปรึกษาเขาก่อน เหตุผลของพ่อคือการควบคุมลูกชายอย่างต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยหนานจิงยังได้ฝึกอบรมนักวิทยาศาสตร์หลายคน และพ่อของเขาต้องการให้ลูกชายเป็นหนึ่งในนั้น
ในช่วงสี่ปีของการเรียนในมหาวิทยาลัย ชีวิตของเสี่ยวไห่ประกอบด้วยพ่อแม่เท่านั้น ไม่มีใครอื่น ไม่มีเครือข่ายทางสังคม ทุกคนที่เข้ามาติดต่อกับเสี่ยวไห่จะถูกพ่อของเขาควบคุม ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเขาอย่างมาก
ในปีสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัย ใกล้จบการศึกษา พ่อของเขายังจัดหางานให้ลูกชายโดยไม่ปรึกษาเขา การควบคุมทั้งทางร่างกายและจิตใจตลอดหลายปีทำให้เสี่ยวไห่รู้สึกอึดอัดใจมาก
หนีจากพ่อแม่ตลอดกาล
ในปี 1994 เสี่ยวไห่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและตระหนักว่าหากต้องการหลีกหนีจากชีวิตที่ถูกควบคุมโดยสิ้นเชิง เขาต้องไปจากพ่อแม่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกจากบ้านเกิดและไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเขา เสี่ยวไห่ทิ้งจดหมายลาสองฉบับเพื่อตัดขาดการติดต่อกับพ่อแม่โดยสมบูรณ์
สำหรับเสี่ยวไห่ เขาไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัว สิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้นคือพ่อของเขาไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นผิดแต่อย่างใด รากฐานของปัญหานี้มาจากประสบการณ์ในวัยเด็กของพ่อ ซึ่งเขาเองก็เคยถูกตีและดุด่ามาเช่นกัน พ่อจึงไม่คิดว่าวิธีการเลี้ยงดูลูกของเขานั้นผิดพลาด
แต่เมื่อพ่อได้ยินคำสารภาพของลูกชาย เขาก็เริ่มรู้สึกสำนึกผิด แต่มันก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะหัวใจที่แตกสลายของเสี่ยวไห่ ไม่สามารถแก้ไขได้อีกแล้ว
ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา เสี่ยวไห่ทำงานคนเดียวในปักกิ่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เสี่ยวไห่ต้องศึกษาวิชาที่เขาไม่ชอบ เมื่อเขามาถึงปักกิ่ง เขายังไม่สามารถหางานที่ต้องการได้ โชคดีที่เสี่ยวไห่มีทักษะภาษาอังกฤษดีและหางานในบริษัทต่างชาติได้ แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เรียนในสาขาที่เกี่ยวข้อง เงินเดือนของเขาจึงต่ำมาก
ในช่วงหลายปีที่อยู่ในปักกิ่ง เสี่ยวไห่ต้องจ่ายค่าเช่าและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ชีวิตของเขาลำบากมาก แม้กระทั่งปัจจุบัน เขายังไม่มีเงินเก็บมากนัก และยังไม่สามารถซื้อบ้านได้ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไห่ก็ยังไม่เลือกที่จะกลับบ้าน
คำขอโทษจากพ่อแม่
ต่อหน้ากล้อง พ่อแม่ของเสี่ยวไห่ซึ่งใช้ไม้เท้าพยุงตัว ได้ขอโทษลูกชายต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด โดยเล่าถึงความผิดพลาดที่พวกเขาทำในการเลี้ยงดูตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้สูงอายุทั้งสองคนไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ใบหน้าของพวกเขาถูกแต่งแต้มด้วยร่องรอยของกาลเวลา ผมของพวกเขากลายเป็นสีขาว ณ ขณะนั้นเสี่ยวไห่ก็มองดูพ่อแม่ที่เขาไม่ได้พบมานาน
เมื่อเขาได้ยินคำขอโทษ หัวใจของเสี่ยวไห่รู้สึกเบาขึ้นเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงสิ่งที่พ่อแม่ทำกับเขาในอดีต เขายังไม่สามารถปล่อยวางความโกรธได้
"ถ้ามีคนตามล่าคุณมาหลายสิบปี แล้ววันหนึ่งเขาบอกว่า ฉันไม่ได้ตั้งใจ จะให้คุณให้อภัยเขาหรือไม่?"
ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของทีมงานรายการ เสี่ยวไห่ตัดสินใจปล่อยวางความโกรธในใจ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ว่าเขาจะสามารถให้อภัยพ่อแม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถกลับมาอยู่ร่วมกับทั้งสองได้อีก เวลา 23 ปีที่ผ่านมาเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนคนหนึ่งได้ แม้ว่าเสี่ยวไห่จะหนีออกจากการควบคุมของพ่อแม่ได้ แต่เขาก็ยังติดอยู่ในเงาของอดีต รอยแผลในใจของเสี่ยวไห่นั้นเป็นของจริง นี่จึงเป็นคำเตือนสำหรับพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน