กฎข้อเดียวของ ลุง รปภ. เงินเดือน 7 พัน ห้ามบอกใครว่าเป็นอะไรกับ "ประธานบริษัท"
กฎข้อเดียวของ ลุง รปภ. ห้ามบอกพนักงานว่าเป็นอะไรกับ "ประธานบริษัท" ใครรู้ก็โกรธแทน
คุณโมน ชายอายุ 56 ปี จากประเทศจีน เล่าผ่าน Toutiao ถึงชีวิตหลังเกษียณของเขา ระบุว่า ก่อนที่จะเกษียณตอนอายุ 55 ปี เขาเคยเป็นรองผู้จัดการที่โรงงานปูนซีเมนต์ สิ่งที่ทำให้เขาพอใจที่สุดหลังจากทำงานมาเกินกว่า 38 ปี คือเงินบำนาญที่ได้เดือนละ 3,000 หยวน (ประมาณ 14,000 บาท) เขาใช้เงินส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่าย และที่เหลือก็นำไปฝากธนาคาร
ภรรยาของคุณเขาทำงานอิสระ เนื่องจากสุขภาพไม่ดี เธอจึงตัดสินใจเกษียณตอนอายุ 50 ปี ชีวิตหลังเกษียณของเธอค่อนข้างสบายและมีความสุข แต่เธอมักจะรู้สึกเสียใจที่ในช่วงวัยทำงานเธอไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกชาย
คุณโมนกับภรรยามีลูกชายคนหนึ่งชื่อ เสี่ยวผิง เขาเป็นเด็กที่ฉลาดและไหวพริบดี หลังจากที่ได้ปริญญาโท เสี่ยวผิงก็เริ่มทำธุรกิจเสื้อผ้า ด้วยความมีไหวพริบ ธุรกิจของลูกชายก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ประมาณ 5 ปีต่อมา เสี่ยวผิงก็ซื้อบ้านและรถในตัวเมืองซีอาน มณฑลส่านซี ประเทศจีน หลังจากนั้นเขาได้แต่งงานและวางแผนจะมีลูก เมื่อเห็นว่าลูกชายประสบความสำเร็จ เขารู้สึกดีใจมาก ในฐานะพ่อแม่ไม่มีอะไรที่จะวิเศษไปกว่าการเห็นลูกเติบโตและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
หลังจากเกษียณมาได้หนึ่งปี ผู้เป็นพ่อบอกว่าอยากทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บริษัทของลูกชาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสุขภาพยังแข็งแรงดี อีกส่วนหนึ่งก็เพราะอยากหากิจกรรมทำแก้เบื่อ ตอนแรกเสี่ยวผิงปฏิเสธ โดยแนะนำให้พ่อพักผ่อนอยู่บ้านและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทนที่จะทำงานต่อ
แต่หลังจากคุยกันหลายครั้ง เสี่ยวผิงก็ตกลงให้พ่อทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บริษัท บริษัทของลูกชายตั้งอยู่ที่ชั้น 31 ของอาคาร มีพนักงานประมาณ 150 คน หน้าที่ประจำวันคือดูแลความปลอดภัยในบริเวณทำงาน เวลาทำงานอยู่ที่ประมาณ 8-9 ชั่วโมง
งานรักษาความปลอดภัยที่บริษัทของเสี่ยวผิงไม่หนักมาก แม้แต่กับคนวัย 60 ก็ยังถือว่าสบาย นอกจากนี้ เงินเดือน 1,500 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 7 พันบาท) ทำให้เขารู้สึกพอใจและมีความสุขแล้ว
ก่อนเริ่มทำงาน เสี่ยวผิงได้ตั้งเงื่อนไขพิเศษหนึ่งข้อ นั่นคือต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันเวลาอยู่ที่บริษัท ตอนแรกคำขอนี้ทำให้ผู้เป็นพ่อประหลาดใจและสับสน เขาสงสัยว่าเสี่ยวผิงรู้สึกอึดอัดหรือไม่สะดวกใจที่มีพ่อเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย
เขาคิดถึงคำพูดของลูกชายอยู่หลายคืน หลายคนคงรู้สึกไม่พอใจหากได้รับคำขอแบบนี้ แต่สำหรับเขา งานนี้เป็นงานที่เขาสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ และเมื่อลองมองในมุมของเสี่ยวผิงก็เข้าใจถึงแรงกดดันที่เขาจะต้องเผชิญหากพนักงานรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา เหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องการให้ลูกทำงานได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องซุบซิบ ดังนั้นจึงยอมรับเงื่อนไขนี้
หลังจากทำงานที่นี่มาได้ประมาณ 6 เดือน เขารู้สึกมีความสุขมากที่ได้เห็นพัฒนาการใหม่ๆ ของบริษัท เมื่อเห็นเสี่ยวผิงมีท่าทีสุขุมและเป็นผู้นำในที่ทำงาน เขายิ่งรู้สึกภูมิใจและพอใจมากยิ่งขึ้น
เขาไม่กล้าพูดถึงอนาคต แต่หากสุขภาพยังแข็งแรงก็อยากมีส่วนช่วยในธุรกิจของเสี่ยวผิงต่อไป