หญิงวัย 58 กินแต่ "ข้าวโพดต้ม" ทั้ง 3 มื้อ ผ่านไป 1 ปี หมอเฉลยผลตรวจสุขภาพ
หญิงอายุ 58 ปี กินแต่ "ข้าวโพดต้ม" 3 มื้อต่อวัน หลังจากผ่านไป 1 ปี ไปตรวจสุขภาพ กลับได้รับผลลัพธ์สุดพลิก หมอเฉลยเพราะอะไร
เรื่องราวของ คุณป้าฮัว ฟาง อายุ 58 ปี จากมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ได้รับความสนใจจากผู้คนในโซเชียลมีเดียจีน หลังจากเธอได้รับประทานข้าวโพดต้มเป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากเชื่อว่ามันดีต่อสุขภาพ ในแต่ละวัน คุณป้าจะกินข้าวโพดต้มทั้ง 3 มื้อ
คุณป้าฮัว ฟาง เป็นครูประถมที่เพิ่งเกษียณ และเธอมีความชื่นชอบในการรับประทานข้าวโพดอยู่แล้ว เมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา เธอได้ค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของข้าวโพด ทำให้เธอเพิ่มข้าวโพดเข้าไปในอาหารประจำวัน
โดยทุกวันเธอจะกินข้าวโพดต้มสำหรับมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น เธอเชื่อว่าข้าวโพดมีไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุสูง การรับประทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รักษาอาหารแบบนี้มาเป็นเวลา 1 ปี เมื่อไม่นานมานี้ ลูกชายของเธอพาไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลในเจ้อเจียง ผลการตรวจเลือดกลับพบว่าค่าระดับน้ำตาลในเลือดของคุณป้าสูงกว่าปกติแพทย์อธิบายสาเหตุ
คุณป้าฮัว ฟาง รู้สึกตกใจมากกับผลการตรวจ คุณป้าบอกกับแพทย์ว่า “ตลอดปีที่ผ่านมา ฉันกินแค่ข้าวโพดต้ม นี่เป็นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ฉันคิดว่าการกินไฟเบอร์มาก ๆ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้”
หลังจากฟังคุณป้าพูด แพทย์อธิบายว่า “ถึงแม้ว่าข้าวโพดจะมีไฟเบอร์ วิตามิน B1, B3, B6, ธาตุเหล็ก สังกะสี และสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ข้าวโพดก็มีแป้งสูง การรับประทานข้าวโพดมากเกินไปในระยะยาวอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การที่คุณป้ากินข้าวโพดอย่างเดียว โดยไม่ทานอาหารอื่น อาจทำให้ขาดสารอาหารสำคัญอื่น ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ”
เมื่อได้ยินคำแนะนำจากแพทย์ คุณป้ารู้สึกวิตกกังวล เธอไม่คิดว่าพฤติกรรมการกินที่ดูเหมือนจะดีต่อสุขภาพของเธอจะนำไปสู่อาการปัญหาสุขภาพแบบนี้ คุณป้าได้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อเสริมสุขภาพ
แพทย์บอกว่า คุณป้ายังสามารถกินข้าวโพดได้ แต่ไม่ควรให้ข้าวโพดเป็นอาหารหลักเพียงอย่างเดียว แพทย์แนะนำให้คุณป้ากินผักผลไม้หลากหลาย และเสริมโปรตีนจากพืชถั่ว เนื้อไม่ติดมัน ปลา และอาหารทะเล เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ แพทย์ยังแนะนำให้คุณป้าลองเพิ่มอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านการอักเสบ เช่น มะเขือเทศ เบอร์รี่ และผักใบเขียว เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งพร้อมแนะนำให้เธอเพิ่มการออกกำลังกาย เช่น เดินเล่นและฝึกโยคะเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย และแนะนำให้เธอลองทำสมาธิเพื่อช่วยบรรเทาความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ
หลังจากกลับถึงบ้าน คุณป้าฮัว ฟาง ได้เริ่มปฏิบัติตามแผนการกินที่แพทย์แนะนำ ผ่านไป 2 เดือน เธอกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพอีกครั้ง ผลการตรวจในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำตาลในเลือดของคุณป้ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
คุณป้ารู้สึกพอใจมากกับผลการตรวจสุขภาพครั้งนี้ และได้ขอบคุณแพทย์ที่โรงพยาบาลเจ้อเจียงสำหรับคำอธิบายและคำแนะนำอย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้เธอสามารถสร้างแผนการกินและวิถีชีวิตที่ถูกต้องและมีสุขภาพดีขึ้นได้