ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ลุ้นผลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติรับ-ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์

ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ลุ้นผลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติรับ-ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์

ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ลุ้นผลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติรับ-ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ลุ้นผลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติรับ-ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ ระบุไม่คาดหวังเพราะเป็นดุลยพินิจศาล หากศาลไม่รับอุทธรณ์ คดีจบ

นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบว่าคดียึดทรัพย์ จำนวน 46,373,687,454.70 บาท กล่าวถึงกรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะลงมติว่า รับหรือไม่รับอุทธรณ์ ในวันพรุ่งนี้ (11 ส.ค.) เวลา 09.30 น. ว่า คู่ความไม่ได้รับแจ้งเรื่องนี้ เพราะกระบวนการขณะนี้เป็นเรื่องภายในของศาล แต่ถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติออกมาอย่างไรแล้ว เชื่อว่าจะแจ้งผลให้คู่ความทราบ

"เวลานี้ ทีมทนายไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร รอฟังคำสั่งว่าจะรับอุทธรณ์หรือไม่ หากรับก็จะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป โดยดูว่าพยานหลักฐานส่วนใดบ้าง ที่เรายื่นไปแล้ว ศาลรับฟังว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย" นายฉัตรทิพย์ กล่าว

นายฉัตรทิพย์ กล่าวว่า สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ก็ไม่ได้แจ้งอะไรกับทนายความเรื่องคดี เพราะรู้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร หากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ กระบวนการพิจารณาทางศาลถือว่าต้องยุติ ขณะนี้ต้องรอฟังคำสั่งศาลเพียงอย่างเดียว และไม่ได้คาดหวังว่าจะออกมาเช่นไร ถือเป็นดุลยพินิจของศาล

"ส่วนการบังคับคดีตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ที่ผ่านมากระทรวงการคลังดำเนินการไปแล้ว ขณะที่บัญชีเงินฝาก ซึ่งนอกเหนือจากการบังคับคดี ก็ถูกแช่แข็ง รอกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)" นายฉัตรทิพย์ กล่าว

ด้าน นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ประชาชน 1 ในคณะทำงานอัยการ กล่าวว่า ต้องรอฟังผลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าจะลงมติอย่างไร หากศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ อัยการก็จะตรวจสอบประเด็นว่ามีอะไรบ้าง ที่ชี้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ เพื่อเตรียมต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ในการยื่นคำคัดค้านอุทธรณ์ อัยการระบุชัดเจนว่า ประเด็นที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ยกขึ้นมาอ้างนั้นไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าจะรับอุทธรณ์หรือไม่ จะยึดถือเสียงข้างมากในการลงมติ หากที่ประชุมใหญ่ลงมติไม่รับอุทธรณ์ ถือว่าคดีเป็นอันยุติ แต่ถ้ามีมติให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ผู้พิพากษาทั้ง 5 คน ที่เป็นองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ จะทำหน้าที่เป็นองค์คณะไต่สวน รวบรวมข้อเท็จจริงเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อพิจารณา วินิจฉัย และมีคำพิพากษาอุทธรณ์ต่อไป

สำหรับคดีนี้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.70 บาท ในชื่อบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (อดีตภริยา) นายพานทองแท้ น.ส.แพทองธาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว รวมทั้งนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน ตกเป็นของแผ่นดิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook