สะดุดตา "รอย" ที่คอลูกสาววัย 14 แม่ไม่จี้ถาม แต่พาไป "ช้อปปิ้ง" กลับมาบอกเลิกแฟนทันที

สะดุดตา "รอย" ที่คอลูกสาววัย 14 แม่ไม่จี้ถาม แต่พาไป "ช้อปปิ้ง" กลับมาบอกเลิกแฟนทันที

สะดุดตา "รอย" ที่คอลูกสาววัย 14 แม่ไม่จี้ถาม แต่พาไป "ช้อปปิ้ง" กลับมาบอกเลิกแฟนทันที
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม่เห็น "รอย" ที่คอลูกสาววัย 14 กังวลแต่ไม่จี้ถาม แต่พาไป "ช้อปปิ้ง" พร้อมสอนบทเรียนชีวิต กลับมาบอกเลิกแฟนทันที

วัยแรกรุ่น เป็นช่วงสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตของเด็กๆ ในช่วงเวลานี้จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นเมื่อลูกมีช่วงเวลาแห่งหาร "ตกหลุมรัก" ผู้ปกครองหลายคนมักจะรู้สึกสับสน และเลือกที่จะป้องกันโดยใช้วิธีเด็ดขาดทันที

อย่างไรก็ตาม หลายกรณียิ่งทัศนคติของพ่อแม่รุนแรงเท่าไร เด็กก็จะยิ่งต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น และแนวทางนี้มักจะไม่เกิดผลดี ดังนั้นเพื่อช่วยให้ลูกข้ามผ่านช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนนี้ ผู้ปกครองจำเป็นต้องมีแนวทางที่ชาญฉลาดในการแก้ปัญหา ดังเช่นตัวอย่างของคุณแม่ในประเทศจีน

คุณหลี่ (นามสมมุติ) มีลูกสาววัย 14 เพิ่งเข้าสู่วัยแรกรุ่น วันหนึ่งหลังจากไปรับลูกที่โรงเรียน สามีของเธอพูดอย่างเป็นกังวลว่า "วันนี้ผมเห็นลูกสนิทกับผู้ชายคนหนึ่งมากๆ ลูกมีความรักหรือเปล่า?” เมื่อได้ฟังเธอก็ตกใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเด็กทั้งสองอาจไม่ลึกซึ้งนัก เธอจึงพยายามสงบสติอารมณ์และค่อยๆ เฝ้าดูต่อไป

แต่แล้วไม่กี่วันต่อมา ผู้เป็นแม่ก็พบ "ร่องรอย" บนคอลูกสาว ทำให้เธอเชื่อว่าลูกสาวมีคนรักแล้วจริงๆ เมื่อคิดว่าการตั้งคำถามกับลูกสาวโดยตรงอาจทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้น จึงพิจารณาหาวิธีอื่นที่ประณีประนอมกว่านั้นในการจัดการสถานการณ์น่าเป็นห่วงนี้

วันรุ่งขึ้นเธอตัดสินใจเป็นคนไปรับลูกสาวหลังเลิกเรียน ตามที่คาดไว้ เธอเห็นลูกสาวพูดคุยกับเพื่อนผู้ชายที่ประตู นอกจากทั้งสองจะจับมือกันแล้ว ยังโอบกอดเพื่อบอกลาด้วยความรัก เธอจึงเดินเข้าไปทางด้านหลังลูกอย่าเงียบๆ เมื่อเด็กหญิงหันมาเห็นก็ตกใจจนหน้าซีดลง อ้ำอึ้งพูดไม่ออก สถานการณ์ราวกับทั้งคู่กำลังรอให้แม่โมโหใส่ แต่จู่ๆ ผู้เป็นแม่ก็พูดกับลูกสาวอย่างใจเย็นว่า "บอกลาเพื่อนของลูก แล้วแม่จะพาลูกไปช้อปปิ้ง"

ลูกสาวดีใจมากเพราะแทนที่จะถูกดุ แต่กลับได้เลือกซื้อเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับทุกชนิดที่ต้องการ แม้ว่าโดยรวมแล้วของจะมีราคาแพงมาก แม่ก็ยังซื้อให้โดยที่ไม่ห้ามหรือบ่นใดๆ เพียงแค่พูดขึ้นมาว่า “ความสามารถในการใช้จ่ายของลูกมีจำกัด สามารถซื้อได้เฉพาะของง่ายๆ ไม่แพง แต่เมื่อแม่เป็นคนจ่ายบิลให้ ลูกก็สามารถซื้อของที่ดีกว่าได้ใช่ไหม?”

ก่อนอธิบายต่อว่าสาเหตุที่สภาพแวดล้อมและสถานการณ์แตกต่างกัน เป็นเพราะแม่มี "ทุน" ที่แข็งแกร่งกว่า จึงสามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ทั้งหมด ส่วนลูกที่ตอนนี้เป็นนักเรียน ตัวเลือกยังมีจำกัด แต่ถ้าเรียนหนักก็จะได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น และพบปะผู้คนที่ดีกว่าในอนาคต ถึงเวลานั้นก็สามารถมีชีวิตอิสระ ซื้อของได้ตามใจชอบ ไม่ต้องการมีชีวิตที่ต้องลังเลหรือคอยมองหน้าคนอื่นเมื่อจะซื้อของสักชิ้น

สุดท้ายผู้เป็นแม่จึงพูดเข้าประเด็นว่า "แม่ไม่ได้ห้ามไม่ให้มีความรัก แต่ในช่วงอายุเท่าลูก การมองไปยังอนาคตและความมุ่งมั่นเพื่ออนาคตคือเป้าหมายแรก แม้แต่แฟนของลูกก็เหมือนกัน เขายังต้องการอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองและดูแลครอบครัวให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ ความรักจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เมื่อคนสองคนก้าวหน้าร่วมกันเท่านั้นจึงจะมีอนาคตที่ดีได้ นอกจากนี้ ในฐานะเด็กผู้หญิง การเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

หลังจากฟังคำสอนของคุณแม่จนจบสิ้น เชื่อว่าลูกสาวได้นำไปคิดและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว สุดท้ายในวันรุ่งขึ้นเธอจึงตัดสินใจบอกยุติความสัมพันธ์แบบคนรักกับแฟนหนุ่ม เพื่อมุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายในการเข้าโรงเรียนมัธยมปลายก่อน และตั้งแต่นั้นลูกสาวก็มักจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งชีวิต การเรียน และความรัก ให้กับผู้เป็นแม่ฟังอย่างเปิดใจ

ที่จริงแล้ว ทุกคนต่างเคยผ่านความรักในวัยเรียนมาก่อน เป็นเรื่องปกติที่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกต่อเพศตรงข้ามในระหว่างพัฒนาการทางจิตใจและสรีรวิทยาของแต่ละคน โดยมักเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ภายในคือมิตรภาพ ความเห็นอกเห็นใจ และแบ่งปันซึ่งกันและกัน ในส่วนของพ่อแม่เพียงต้องคอยเฝ้าดูและชี้แนะให้ถูกทาง โดยยังคงเคารพความเป็นส่วนตัวของบุตรหลาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook