เต่า เชิญยิ้ม ตลกยุค 90 เล่าชีวิตเคยเฟื่องฟู เงินเดือนมากกว่านายกฯ เปลี่ยนรถเป็นว่าเล่น
เต่า เชิญยิ้ม ตลกชื่อดังยุค 90 ที่มีคำพูดติดหูอย่าง “ฮานาก้า” เป็นที่รู้จักในวงกว้างในช่วงที่วงการตลกเฟื่องฟู มีงานทุกวันแทบไม่ได้พัก แต่เมื่อ คาเฟ่ ปิดตัวลง ก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับวงการตลก รวมถึง เต่า เชิญยิ้ม ด้วยเช่นกัน
โดย เต่า เชิญยิ้ม เล่าว่า “ตอนนี้ผม 60 กว่า ก็เข้าวงการตลกเกือบมา 40 ปีแล้ว ผมเข้าวงการตลกเพราะพี่โน๊ตชวน เพราะพี่โน๊ตเป็นอาผม แต่ไม่ได้เล่นตลก แค่มาตีกลอง เมื่อก่อนมี 4 ตัว แทบทุกคณะเลย มือกลองมีคนเดียว มือกลอง 2 หน้า แม้แต่ ตี๋ ดอกสะเดา, เหลือเฟือ มกจ๊ก ก็ตีกลองทั้งนั้น แล้วพอเราตีกลองอยู่หน้าเวทีมันกลายเป็นจำมุกแม่นไปหมดเลยทุกคน แต่เราเป็นลิเกอยู่แล้ว พี่โน๊ตเลยบอกว่า ลองไปทำทีมเล่นตลกไหม ทำทีมกับน้องพี่โน๊ตอ่ะ พี่จเร ก็เลยไปทำทีม เราจำมุกแม่นจำได้ทุกคนเลย พี่เป็ด พี่โน๊ต เล่นยังไงก็เลยมาเอามุกพวกนี้มาแนะมาสอนกับทีมงานแล้วมาเล่น ก็เล่นมาเดือนเดียวมีรถขับ รถยนต์ ได้งานแทนเชิญยิ้มอย่างเดียวอ่ะ ก็มีตัง ช่วงที่คาเฟ่กำลังรุ่ง ก็ออกจากบ้าน 6 โมงเย็น เริ่มเล่น 2 ทุ่ม เลิกตี 5 อย่างนี้ทุกวันนะ ชีวิตกลางวันแทบไม่เห็น เพราะนอนอย่างเดียว ตื่นมาก็ออกทำงานอย่างเดียวเลย”
ชีวิตตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
“เงินทองดี ก็พี่โน๊ตพูดอยู่ครั้งว่า เต่าค่าตัวมึงเนี่ยนะ ค่าตัวพวกเราเนี่ย ค่าตัวแพงกว่านายกรัฐมนตรีนะ เงินเดือนถ้ารวมแล้ว ตอนนั้นวัยรุ่นก็ ครับๆ แต่พี่เต่าโชคดีตรงที่ไม่ติดการพนัน เรื่องหญิงไม่มีเอาเงินมาซัพพอร์ต ไม่เปย์ ให้เมียเก็บเงินตลอด เพราะเรารู้ถ้าเราใช้จ่ายเองมีสิทธิหมดแน่ ก็ที่มีบ้าน มีรถ มีเงินส่งลูกเรียน ก็เพราะเมียเก็บนี่แหละ เขาคอยเบรกเรา แต่พี่เต่าก็พลาดเรื่องนึง เปลี่ยนรถมา 50 กว่าคัน ชอบรถ เป็นคนซื้อรถป้ายแดงมาไม่ถึง 3 เดือน ก็ขายเลย ถ้าเจออีกคันสวยก็ขายคันนี้เลย แล้วซื้ออีกคันเลยป้ายแดง ก็ขายพวกตลกด้วยกัน ก็หลายคนที่ซื้อกับเรา ใครซื้อต่อเต่า เชิญยิ้ม ได้กำไรทุกคน”
พอเป็นป้ายขาวก็เปลี่ยนคันใหม่?
“ออกป้ายแดงมาวันแรกไปโหลดเลย ใส่แม็กซ์ เราแต่งเลย เมื่อก่อนทีวีในรถยังไม่ค่อยมีเหมือนสมัยนี้ ต้องซื้อทีวีติดไว้ในรถ เพราะเราใช้ชีวิตกลางคืน ขับรถไปดูข่าวไป แล้วก็แต่งทุกคัน เครื่องเสียงก็แต่ง เงินหมดไปกับตรงนี้ ผมหมดหลายล้านเลย ยุคนั้นทองบาทละ 4,000 หมดเงินตรงนี้ไป ถ้าไม่ประมาทตรงนี้ ใช้ 1-2 คันก็พอ ใช้คำว่าบ้านซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาทได้เลย ณ ตอนนั้นหมดหลายบาท”
เมียไม่ดุเหรอ?
“ดุได้ไง เราหากิน เขาดุที เรางอน เขาก็ตามใจ เรามานึกถึงตัวเองทุกวันนี้ ถ้าเชื่อเมียนะสบายกว่านี้ หมดกับรถ พวกตลกจะรู้กัน พวกทีมงานจะรู้ ใช้คำว่าบ้า บ้ารถ”
ตอนนั้นที่มีเงินในมือ มีประมาณเท่าไหร่ที่บอกเยอะมากๆ?
“มันเหมือนเบี้ยหัวแตกนะ ไม่ใช่ได้มาวันนี้ใช้วันนี้ แต่ได้แน่ๆ บางวันได้ 20,000 บาท บางวันก็ได้ 10,000 บาท แต่อย่างน้อยเข้าบ้านเกือบหมื่นทุกวันเลย อันนี้เงินคาเฟ่นะ นี่ตีอย่างต่ำนะ ไม่เกี่ยวกับหนัง ละคร บางทีคาเฟ่ก็ 5,000 บาท หลังจากแบ่งค่าตัวกันแล้ว 5,000 ก็เข้ากระเป๋า ถ้ารับหนัง ค่าตัวก็จะอีกอย่างนึง รับละคร เล่นคาเฟ่ ก็ 2 เด้งละ เมื่อก่อนเงินดี ก็เงินเยอะพอรวมหลายๆ งาน หมดไปกับรถ ไม่มีเรื่องอื่นเลย เรื่องหญิงไม่มี การพนันไม่ติด เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าได้ก็ดีใจ ถ้าไม่ได้ก็เสียความรู้สึก แล้วไม่เล่นเลย”
ชีวิตตลกในยุคนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
“ฟุ่มเฟือยนะ เงินทองฟุ่มเฟือย อยู่ที่ว่าใครจะรู้จักประหยัด รู้จักเก็บเท่านั้นเอง”
ตลกหลายๆ คนชีวิตตอนมีเงินก็มี แต่พอไม่มีเงินก็จน จบทุกอย่าง หน้ามือเป็นหลังมือ?
“ใช่ ถ้ารู้จักเก็บก็จะดี แต่พี่เต่าโชคดีตรงที่เมียเก็บเงินให้ ทุกวันนี้ก็ไม่มีภาระอะไร บ้าน รถ ไม่มีอะไรต้องผ่อน ตื่นมาถ้ามีงานนอก ก็เป็นเงินกิน ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เรายังมีเงินเก็บ แต่ไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรทุกวันนี้ สบายๆ ลูกเต้าทำงานหมดแล้ว”
เคยมีดราม่าตกอับ?
“ตอนนั้นที่มีข่าวดราม่าเมียขายไก่ทอด แล้วแจ๊ค น้องเจี๊ยบ เชิญยิ้ม มาสัมภาษณ์ ธรรมดาเราจะไม่ให้ใครรู้เลยชีวิตเรา บางทีบอกตรงๆ ว่าอายอ่ะ แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใช่ว่าไม่มีเงินนะ มีเงินนะ มีงานปกติ แค่แฟนขายของแล้วเรามาช่วยขาย ภาพลักษณ์ที่ออกมาพอไปออกสื่อ เลยกลายเป็นตลกตกอับ แต่หารู้ไม่ว่าลูกก็เรียนการบิน คือเรียนดีๆ อ่ะ มันตกอับตรงไหนนะ พอแจ๊คสัมภาษณ์เสร็จ รายการทีวีเรียกเราไปสัมภาษณ์เยอะเลย น้องบุ๋ม ปนัดดา ก็บอกว่า พี่เต่าไม่เห็นตกอับเลย แย่ตรงไหน ลูกเต้าก็เรียนดี เหมือนไปได้เงินฟรี (เหมือนมีข่าวแล้วกลับมาทำให้เรามีกระแสอีกรอบนึง?) รายการติดต่อมาก็ได้เงินเป็นแสนอ่ะ (หัวเราะ) คือบางทีสัมภาษณ์แล้วตัดช่วงจั่วหัวให้ดูน่ากลัว ให้ดูว่าแย่หรอ แล้วภาพดีๆ ภาพดูหล่อไม่เอาลง เรานั่งเศร้าๆ เอาหน้าไปลง มันต้องขายตรงนี้ แต่ก็ต้องดูเนื้อใน”
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ