ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบ "เนื้อหมู vs เนื้อวัว" กินเนื้ออะไร ดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน?
Thailand Web Stat

ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบ "เนื้อหมู vs เนื้อวัว" กินเนื้ออะไร ดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน?

ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบ "เนื้อหมู vs เนื้อวัว" กินเนื้ออะไร ดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบ "เนื้อหมู vs เนื้อวัว" กินเนื้ออะไร ดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน?

Patricia Bannan นักโภชนาการจากลอสแอนเจลิส (สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า ทั้งเนื้อหมูและเนื้อวัวเป็นแหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์ แต่มีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ "วิธีการปรุงสามารถเพิ่มหรือลดคุณค่าทางโภชนาการของเนื้อสัตว์ได้"

ดังนั้น เนื้อหมูหรือเนื้อวัว อันไหนดีกว่าและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า? มาดูกันว่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าอย่างไร

เนื้อส่วนไหนของหมูที่ดีต่อสุขภาพที่สุด?

Elisabetta Politi นักโภชนาการ กล่าวว่า เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีน วิตามินบี 12 และไธอามิน (วิตามินบี 1) รวมถึงแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะธาตุเหล็กฮีม ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี วิตามินบี 12 ช่วยรักษาสุขภาพของเซลล์เม็ดเลือดและเซลล์ประสาท ส่วนไธอามินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า ธาตุเหล็กมีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แข็งแรงและช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังทุกส่วนของร่างกาย

ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือก เนื้อสันในหมู เพราะเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติดีที่สุด

Bannan กล่าวว่า "เนื้อสันในหมูเป็นหนึ่งในแหล่งโปรตีนที่ไม่ติดมันที่สุด เทียบเท่ากับอกไก่ไร้หนัง จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี่ แต่ยังคงได้รับโปรตีนเพียงพอ"

เนื้อสันในหมูขนาดประมาณ 85 กรัม มีพลังงาน 122 แคลอรี โปรตีน 22 กรัม และไขมัน 3 กรัม

Politi กล่าวเพิ่มเติมว่า ซี่โครงหมู ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ควรเลือกส่วนที่มีไขมันน้อย หรือเล็มไขมันออกก่อนปรุงอาหาร เธอยังแนะนำว่า เนื้อสันในและเนื้อสันนอกหมูมีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำ

Bannan แนะนำให้เลือกเนื้อที่มีไขมันน้อย และมองหาคำว่า "สัน" บนฉลาก เพราะมักเป็นส่วนที่มีไขมันต่ำ

นักโภชนาการยังเตือนให้ หลีกเลี่ยงเนื้อหมูแปรรูป เช่น เบคอนและแฮม เพราะมีโซเดียมสูงและมักผ่านกระบวนการถนอมอาหารด้วยไนเตรตและไนไตรต์

สมาคมมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เนื้อสัตว์แปรรูปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง จึงควรจำกัดการบริโภคหากเป็นไปได้

เนื้อส่วนไหนของวัวที่ดีต่อสุขภาพที่สุด?

เนื้อวัวเป็นแหล่งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่ดี โดยเฉพาะมีวิตามินบี 12 สูง และให้ธาตุเหล็กฮีมมากกว่าเนื้อหมู

Bannan กล่าวว่า "เนื้อวัวไม่ติดมันเป็นหนึ่งในแหล่งธาตุเหล็กที่ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงในช่วงมีประจำเดือนและนักกีฬา โดยหนึ่งหน่วยบริโภคสามารถให้ธาตุเหล็กได้ถึง 15% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน"

เธอยังแนะนำให้ทานเนื้อวัวร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกหวานสีเหลือง และผักใบเขียวเข้ม เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

เนื้อวัวจัดเป็นเนื้อแดงเช่นเดียวกับเนื้อหมู แต่มีไขมันอิ่มตัวสูงกว่าพวกโปรตีนประเภทอื่น ดังนั้น Politi แนะนำว่า ควรเลือกเนื้อวัวที่ไม่ติดมัน

นอกจากนี้ เนื้อวัวบดไม่ติดมัน ก็เป็นตัวเลือกที่ดี โดยควรเลือกที่มีไขมันไม่เกิน 15% ตามคำแนะนำของ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐฯ แต่หากต้องการลดไขมันให้มากขึ้น ควรเลือกเนื้อบดที่มีไขมัน 10% หรือน้อยกว่า

เนื้อหมูกับเนื้อวัว: อันไหนดีกว่ากัน?

ขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละคน

ทั้งเนื้อหมูและเนื้อวัวมีสารอาหารที่คล้ายกัน แต่มี 3 จุดแตกต่างที่สำคัญทางโภชนาการ

  • เนื้อวัวให้ธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 มากกว่าเนื้อหมู

  • เนื้อวัวไม่ติดมันมีประโยชน์สำหรับนักกีฬา เพราะช่วยเสริมธาตุเหล็กที่จำเป็นในการลำเลียงออกซิเจนระหว่างออกกำลังกาย

  • เนื้อหมูมักมีไขมันต่ำกว่าเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อสันในหมู จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะช่วยให้อิ่มแต่ให้พลังงานน้อยกว่า

ปริมาณที่แนะนำต่อมื้อคือ 85-113 กรัม หรือประมาณ ขนาดฝ่ามือของผู้หญิง หรือ เท่ากับสำรับไพ่หนึ่งสำรับ

Politi แนะนำว่า ไม่ควรรับประทานเนื้อแดงเกิน 226 กรัมต่อสัปดาห์

ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญเน้นว่า ปริมาณแคลอรี่และไขมันของเนื้อหมูและเนื้อวัวขึ้นอยู่กับวิธีการปรุง วิธีที่ดีที่สุดคือ ย่าง อบ ตุ๋น อบแห้ง หรือผัดโดยใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด

Bannan แนะนำให้รับประทานเนื้อสัตว์ควบคู่กับ ผักใบเขียว ผักที่มีไฟเบอร์สูง และธัญพืชเต็มเมล็ด เพื่อให้เป็นมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า "หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และจับคู่กับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เนื้อหมูและเนื้อวัวสามารถเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่ดีต่อหัวใจได้ และการสลับรับประทานกับแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น ปลา หรือโปรตีนจากพืชอย่างถั่วเลนทิล จะช่วยให้คุณมีอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
kookkak

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบน
เว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่
นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้