เตือนภัย "ยาแก้ปวดในตำนาน" ทำสาวกระเพาะทะลุ 15 รู คนนิยมกิน แต่หมอไม่แนะนำ

เตือนภัย "ยาแก้ปวดในตำนาน" ทำสาวกระเพาะทะลุ 15 รู คนนิยมกิน แต่หมอไม่แนะนำ

เตือนภัย "ยาแก้ปวดในตำนาน" ทำสาวกระเพาะทะลุ 15 รู คนนิยมกิน แต่หมอไม่แนะนำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 เตือนภัย "ยาแก้ปวดในตำนาน" สาวกระเพาะทะลุ 15 รู เหมือนโดนกระสุนลูกปรายยิง คนนิยมกิน แต่หมอไม่แนะนำ

หลายคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะแวะร้านขายยาหรือร้านดรักสโตร์เพื่อซื้อของกลับบ้าน โดยเฉพาะ “ยาแก้ปวดในตำนาน” ที่เป็นตัวเลือกยอดฮิตของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ เซียว ตุนเหริน (蕭敦仁) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร ได้ออกมาเตือนผ่านรายการว่า มีหญิงวัย 35 ปี คนหนึ่งที่กินยาแก้ปวดญี่ปุ่นถึง 4-5 เม็ด เพราะต้องการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน แต่กลับส่งผลให้ปวดท้องอย่างรุนแรง เมื่อตรวจด้วยกล้องส่องกระเพาะพบว่า กระเพาะทะลุเป็นรูใหญ่ถึง 15 จุด และมีเลือดออกด้วย จึงแนะนำว่าประชาชนควรปรึกษาแพทย์และได้รับใบสั่งยาก่อนใช้ยากลุ่มนี้

นายแพทย์เซียวเล่าว่า หญิงวัย 35 ปี รายนี้ปกติมักมีอาการปวดประจำเดือน จึงจะกิน “ยาแก้ปวดญี่ปุ่น” วันละ 1–2 เม็ดเพื่อบรรเทาอาการ แต่วันหนึ่งอาการปวดรุนแรงมาก จึงกินติดต่อกันถึง 4–5 เม็ด หลังจากนั้นอาการปวดได้ลามจากท้องน้อยขึ้นมาท้องส่วนบน ทำให้เธอตกใจและรีบไปพบแพทย์ เมื่อตรวจด้วยกล้องส่องกระเพาะก็พบว่ากระเพาะของเธอทะลุเป็นรูถึง 15 แห่ง และมีเลือดออกมาก

นายแพทย์เซียวอธิบายว่า ยาแก้ปวดญี่ปุ่นที่เธอกินนั้นจัดอยู่ในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งมีส่วนผสมของ “ไอบูโพรเฟน” (Ibuprofen) ที่สามารถทำลายชั้นเมือกในกระเพาะอาหารได้ หากชั้นเมือกถูกทำลาย กรดในกระเพาะจะทำร้ายเยื่อบุกระเพาะเหมือนกับลูกปรายยิงใส่ผนังกระเพาะ

เขาจึงเตือนว่า ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของไอบูโพรเฟนไม่ควรกินเองตามใจชอบ ควรได้รับการสั่งจ่ายโดยแพทย์จะปลอดภัยกว่า และเขายังเสริมว่า ในบ้านของเขาเองจะเตรียมแค่ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของ “พาราเซตามอล”  เท่านั้น แต่ถึงอย่างไร ก็ยังควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากใช้มากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการทำงานของตับได้เช่นกัน

นอกจากนี้ เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไต้หวันยังระบุว่า ยาแก้ปวดญี่ปุ่นที่มีไอบูโพรเฟน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ภาวะโลหิตจางจากไขกระดูกไม่สร้างเม็ดเลือด (aplastic anemia), ภาวะเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ และในบางรายอาจเกิด “กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน” (Stevens-Johnson Syndrome) ซึ่งเป็นปฏิกิริยารุนแรงที่ผิวหนัง

ทาง อย. ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ยาแก้ปวดในท้องตลาดทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  1. ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น พาราเซตามอล

  2. ยาแก้ปวดกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น แอสไพริน และไอบูโพรเฟน

ซึ่งใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดประจำเดือน หรือปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น โดยยาเหล่านี้มักมีอยู่ในยาลดไข้หรือยาหวัดแบบผสมต่าง ๆ ที่ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดินในระบบประสาท แต่การใช้เกินขนาดอาจทำลายตับได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กำลังโหลดข้อมูล