เผยคำพูด “จอร์จ ฟลอยด์” ก่อนตาย ร้อง “หายใจไม่ออก” ถึง 20 ครั้ง
เผยคำพูด “จอร์จ ฟลอยด์” ร้องหายใจไม่ออกอย่างน้อย 20 ครั้ง พร้อมบอกรักแม่และลูก ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกดคอจนเสียชีวิต
แท็ก
เผยคำพูด “จอร์จ ฟลอยด์” ร้องหายใจไม่ออกอย่างน้อย 20 ครั้ง พร้อมบอกรักแม่และลูก ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกดคอจนเสียชีวิต
เหตุฆาตกรรม Riah Milton และ Dominique “Rem’ Mie” Fells ผู้หญิงข้ามเพศผิวดำ 2 คนในสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อกลุ่ม LGBTQ+ และเกิดเป็น #BlackTransLivesMatter ในทวิตเตอร์
วิธีการควบคุมผู้ชุมนุมในสหรัฐฯ ด้วยการใช้แก๊สน้ำตาถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดใช้อาวุธเคมีเหล่านี้ เพราะมันสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา และก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ได้
5 การเปลี่ยนแปลงในสหรัฐฯ จากเหตุประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว หลังจากเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์”
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมอันมีสาเหตุมาจากความแตกต่างเรื่องสีผิว โดยแสดงความกังวลเรื่องการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้น
การเขียนข้อความลงบนถนน ถือเป็นการประท้วงอีกรูปแบบหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ซึ่งมีสาเหตุมาจากกรณีของ “จอร์จ ฟลอยด์” ชายผิวดำ ในเมืองมินนิอาโปลิส ที่ถูกตำรวจใช้หัวเข่าทับบนลำคอจนขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิต
กลุ่มผู้ชุมนุมมากกว่า 100 คน มารวมตัวกันหน้าสโตนวอลล์ อินน์ ในกรุงนิวยอร์ก เมื่อวันอังคาร ที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา และตะโกนร้องชื่อ “โทนี แมคเดด” ชายผิวดำอีกคนหนึ่งที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในช่วงเวลาของการขับเคลื่อนขบวนการ Black Lives Matter
วิดีโอที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายบนโลกอินเตอร์เน็ต ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการใช้ความรุนแรงของตำรวจไม่ใช่ปัญหาของปัจเจกบุคคล แต่เป็นปัญหาที่กระจายอยู่ในกรมตำรวจทั่วสหรัฐอเมริกา
การเสียชีวิตของ "จอร์จ ฟลอยด์" และชาวอเมริกันผิวดำคนอื่น ๆ สะท้อนปัญหาเรื่องสีผิวที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมอเมริกัน ส่งผลให้เกิดการชุมนุมประท้วง Black Lives Matter เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมให้ชาวอเมริกันผิวดำ ซึ่งแตกต่างจากการประท้วงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
การเฉลิมฉลอง Pride Month ของกลุ่ม LGBTQ+ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องโฆษณาแฝงที่มากจนเกินไป ขณะที่วัตถุประสงค์ของการเฉลิมฉลองก็ถูกบิดให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นกำเนิดของงาน ด้วยเหตุนี้ การชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นจากการเหตุการณ์ของจอร์จ ฟลอยด์ จึงเป็นโอกาสที่ชาว LGBTQ+ จะได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้น นั่นคือการเรียกร้องความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมอีกครั้ง
ชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกำลังตกเป็นประเด็นของการโต้เถียง เมื่อเถา เต้า (Tou Thao) เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื้อสายม้ง ยืนดูเหตุการณ์ที่เพื่อนตำรวจผิวขาวของเขา คุกเข่าทับคอชายผิวดำ “จอร์จ ฟลอยด์” เป็นเวลานานกว่า 8 นาที ทำให้ฟลอยด์ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต
วิธีการจับกุมผู้ต้องสงสัยด้วยการคุกเข่าทับ ดังที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ของจอร์จ ฟลอยด์ ที่จุดประกายความโกรธแค้นไปทั่วทั้งโลก เป็นวิธีการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายประเทศทั่วโลกใช้ และถูกวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นเวลานาน
“จิอานนา” ลูกสาวของจอร์จ ฟลอยด์ เปิดเผยผ่านคลิปวีดิโอว่า "พ่อของเธอเป็นผู้ที่เปลี่ยนโลก"
พนักงานของ Facebook แสดงความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของ “มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก” ที่ไม่ยอมลบโพสต์ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ขณะที่การประท้วงปะทุขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์” ในช่วงเวลานี้ ยังเป็นวันครบรอบ 99 ปี "เหตุจลาจลเมืองทัลซา" เหตุการณ์ความรุนแรงอันเนื่องมาจากความเกลียดชังสีผิว ที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และถูกเก็บซ่อนเอาไว้จนหลายคนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
จอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน วัย 46 ปี เสียชีวิตในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา ขณะที่เขาถูกเจ้าหน้าที่จับกุม วิดีโอบันทึกเหตุการณ์แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวนายหนึ่งคุกเข่ากดลำคอของฟลอยด์ไว้ และนั่นคือเหตุการณ์ที่จุดประกายการประท้วงทั่วสหรัฐฯ ในขณะนี้
ผลการชันสูตรของเจ้าหน้าที่อิสระเผยว่า “จอร์จ ฟลอยด์” เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ พร้อมยืนยันว่าเป็นเหตุฆาตกรรม
บรรดาธุรกิจในมินนิอาโปลิสประกาศยืนเคียงข้างผู้ประท้วง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ “จอร์จ ฟลอยด์”
ครอบครัว “จอร์จ ฟลอยด์” เผย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวทางโทรศัพท์ แต่การสนทนาเป็นไปแบบรีบๆ โดยทางครอบครัวแทบไม่ได้เปิดปากพูด