"เฮนริก ลาร์สสัน" : พี่ใหญ่ที่ใช้เวลาแค่ 10 สัปดาห์เพื่อเป็นผู้นำ "ผีแดงยังบลัด"

"เฮนริก ลาร์สสัน" : พี่ใหญ่ที่ใช้เวลาแค่ 10 สัปดาห์เพื่อเป็นผู้นำ "ผีแดงยังบลัด"

"เฮนริก ลาร์สสัน" : พี่ใหญ่ที่ใช้เวลาแค่ 10 สัปดาห์เพื่อเป็นผู้นำ "ผีแดงยังบลัด"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ผมน่าจะอยู่ต่อ มันคือความเสียใจเพียงครั้งเดียวในชีวิตนักฟุตบอลของผม” ลาร์สสันกล่าว

มกราคม 2007 เฮนริค ลาร์สสัน กองหน้าระดับตำนานของสวีเดน ได้มีโอกาสย้ายมาสวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมแห่งยุคนั้น หลังเฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายครั้ง 

เขามาด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้นเพียงแค่ 3 เดือน และยิงไปแค่ 3 ประตูจาก 13 นัดที่ลงสนาม ทว่ากลับสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของแฟนบอลปีศาจแดงได้อย่างสมบูรณ์แบบ  

เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand   

 

ปัญหาที่เฟอร์กี้ต้องกุมขมับ 

พรีเมียร์ลีก ถือเป็นหนึ่งในลีกสุดโหดของยุโรป นอกจากจะเป็นลีกที่เล่นกันอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่หากใครฟิตไม่พออาจจะได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว พวกเขายังเป็นลีกเดียวจาก 5 ลีกใหญ่ของยุโรป (ที่เหลือประกอบด้วย เยอรมัน, สเปน, อิตาลี และ ฝรั่งเศส) ซึ่งไม่มีช่วงพักเบรกในฤดูหนาว 

 1

แถมในช่วงคริสต์มาส แต่ละทีมต้องเจอกับโปรแกรมหนัก ที่อาจต้องเตะกันถึง 3 นัดภายในอาทิตย์เดียว ซึ่งถ้าหากมีนักเตะไม่เพียงพอ หรือผู้เล่นตัวหลักดันมีอาการบาดเจ็บ ก็อาจจะทำให้โมเมนตัมของทีมเปลี่ยนไปได้ในช่วงนี้

และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2006-07 ก็ประสบกับปัญหานี้ ช่วงปลายปี 2006 พวกเขาต้องขาดแคลนกองหน้าอย่างหนัก หลัง รุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าตัวหลัก ของทีมเพิ่งจะย้ายไป เรอัล มาดริด ในช่วงหน้าร้อน ในขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ อลัน สมิธ กองหน้าตัวสำรองมีอาการบาดเจ็บต้องพักยาว 

พวกเขาจึงเหลือเพียงแค่ เวย์น รูนี่ย์ และ หลุยส์ ซาฮา เป็นเพียงกองหน้าสองคนที่ใช้งานได้ ส่วน ตง ฟางโจว กองหน้าชาวจีนที่เพิ่งกลับมาจากการยืมตัวกับ รอยัล อันท์เวิร์ป ก็ยังเร็วเกินไปที่จะใช้งาน เนื่องจากประสบการณ์น้อยเกินไปสำหรับพรีเมียร์ลีก 

ในตอนนั้นปีศาจแดงภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มุ่งมั่นอย่างมากที่จะทวงบัลลังก์เบอร์ 1 ของอังกฤษคืน หลังถูก อาร์เซนอล ยุคไร้พ่าย และ เชลซี ภายใต้การนำทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ช่วงชิงไปใน 3 ฤดูกาลหลังสุด 

แม้พวกเขาจะนำเป็นจ่าฝูงของลีกในตอนนั้น แต่การมีกองหน้าเพียงแค่ 2 คน มันน้อยเกินไปสำหรับการไล่ล่าแชมป์ ที่ไม่ใช่แค่แชมป์ลีก แต่ยังรวมไปถึงบอลถ้วยที่ ยูไนเต็ด ยังมีลุ้นทั้ง เอฟเอคัพ และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 

แมนฯ ยูไนเต็ด จึงต้องเร่งหากองหน้ามาเสริมทีมอย่างเร่งด่วนในช่วงตลาดนักเตะหน้าหนาวที่กำลังจะเปิดขึ้น พวกเขาควานหาอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็มาลงเอยกับ เฮนริค ลาร์สสัน กองหน้าชื่อดังชาวสวีเดน ที่กำลังค้าแข้งให้กับ เฮลซิงบอร์ก ในบ้านเกิด 

เนื่องจากในตอนนั้น เฮลซิงบอร์กกำลังอยู่ในช่วงปิดฤดูกาลพอดี (ฟุตบอลลีกสวีเดนเปิด-ปิดฤดูกาลตามปีปฏิทิน ต่างจากลีกส่วนใหญ่ของยุโรป) ทำให้สโมสร ยอมปล่อยตัวมาให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้น 3 เดือน ก่อนจะประกาศเซ็นสัญญาในวันที่ 3 ธันวาคม 2006 

 2

“เขาเป็นตัวทำประตูที่สามารถเล่นได้ทุกที่ในแดนหน้า ผมเคยเห็นเขาเล่นหลายครั้ง เขาสามารถฉีกออกไปเล่นทางขวาหรือทางซ้าย หรือขยับเข้ามาตรงกลาง เขาเป็นผู้เล่นมันสมองด้วยดีกรีที่ยอดเยี่ยม” เฟอร์กูสัน กล่าวกับ Telegarph ในวันเซ็นสัญญา

อย่างไรก็ดี แม้ว่าลาร์สสัน จะเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียง และเคยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับ กลาสโกว์ เซลติก รวมทั้งร่วมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับยอดทีมอย่าง บาร์เซโลนา แต่ตอนนั้น เขาอายุ 35 ปี และอยู่ในช่วงบั้นปลายของนักฟุตบอลอาชีพ 

นั่นทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่านักเตะอายุขนาดนี้จะมาทำอะไรได้ และไปถึงขั้นด่าตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของทีมในตอนนั้นว่าขี้เหนียวเกินไป หวังแต่ประหยัดเงิน ทั้งที่ทีมกำลังต้องการขุมกำลังเพื่อการลุ้นแชมป์ 

แต่สุดท้าย ลาร์สสัน ก็ทำให้คนเหล่านั้นต้องคิดผิด

นัดแรกก็ยิงเลย 

อันที่จริง เฟอร์กูสัน ก็ให้ความสนใจในตัวลาร์สสัน มาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น แต่ติดว่า เซลติก ต้นสังกัดของเขาในขณะนั้น ไม่ยอมขายให้ ทำให้กว่าจะได้ย้ายมาสวมชุดปีศาจแดง ต้องรอถึงโค้งสุดท้ายของชีวิตนักเตะอาชีพ 

 3

“ยูไนเต็ด สนใจผมมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ฤดูกาลแรกๆ ที่ผมอยู่กับเซลติก” ลาร์สสันกล่าวกับ BBC Sports ในวันเซ็นสัญญา

“ผมรู้สึกดีที่ได้มาที่นี่และเล่นให้กับทีมใหญ่ขนาดนี้ ผมอาจจะไม่ได้ลงตัวจริงทุกเกม แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนกับเรื่องสนุก” 

ลาร์สสัน เริ่มต้นสัญญาอย่างเป็นทางการกับแมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2007 ไปจนถึง 12 มีนาคม 2007 มันมีอายุเพียงแค่ 10 สัปดาห์ หรือแค่ 2 เดือนครึ่งเท่านั้น 

แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า และเพียงนัดแรกที่ลงสนามในศึกเอฟเอคัพ รอบที่ 3 ที่พบกับ แอสตัน วิลลา ในวันที่ 7 มกราคม 2007 เขาก็สามารถประเดิมสกอร์แรกในสีเสื้อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ทันที 

หลังทำอะไรกันไม่ได้ใน 45 นาทีแรก ลาร์สสัน ก็กลายมาเป็นผู้ปลดล็อคในนาทีที่ 55 เขารับบอลจากรูนีย์ ในกรอบเขตโทษ และจิ้มอย่างรวดเร็วก่อนที่กองหลังวิลลาจะเข้ามาสกัดได้ทัน บอลพุ่งเข้าไปตุงตาข่ายชนิดผู้รักษาประตูคู่แข่งไม่ทันขยับให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกนำ 1-0 ท่ามกลางเสียงเฮลั่นของแฟนในสนาม 

 

ลาร์สสัน ดีใจอย่างมากกับประตูที่เกิดขึ้น เขาฉลองด้วยการวิ่งไปข้างหน้าอย่างสะใจเหมือนกับเด็กๆ ราวกับมันเป็นประตูแรกในชีวิต ก่อนที่เพื่อนร่วมทีมจะเข้ามาสวมกอด 

จริงอยู่ที่ลาร์สสันเคยยิงประตูมาแล้วมากมาย แต่ประตูนี้เป็นหนึ่งในประตูสำคัญในชีวิต เมื่อมันเป็นประตูแรกของเขาในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด โรงละครแห่งความฝันที่ใครต่อใครอยากจะมาเล่นที่นี่ในตอนนั้น

ก่อนที่เกมดังกล่าวจะจบลงด้วยชัยชนะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งคว้าชัยไปได้ 2-1 หลัง วิลลา ตีเสมอได้จาก มิลาน บารอส แต่ โซลชา ก็มายิงประตูชัยในนาทีที่ 90+1 ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ได้อย่างหวุดหวิด 

ทว่าหลังเกมวันนั้น คนที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก ลาร์สสัน

สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง 

การทำประตูได้ทันทีในนัดแรกที่ลงสนามทำให้เขาถูกพูดถึงจากสื่อมากมาย และตกเป็นหัวข้อในการพาดหัวของสื่อจากอังกฤษ และนอกเหนือจากการมีชื่อบนสกอร์บอร์ด สิ่งที่ทำให้เขาได้รับการชื่นชมคือความเฉียบคมในการทำประตู 

 5

จริงอยู่ว่าเขาอาจจะไม่มีความเร็วมากนัก ด้วยสังขารที่ร่วงโรย แต่สัญชาตญาณการยิงประตูของเขาไม่เคยลดลง และประตูที่ทำได้ในเกมพบกับวิลลา ก็แสดงให้เห็นจังหวะสังหารแบบเวิลด์คลาสและความเยือกเย็นหน้าปากประตูที่แท้จริง 

เขายังตอกย้ำความเป็นดาวยิงระดับโลกได้อีกครั้งในเกมพรีเมียร์ลีกที่พบกับ วัตฟอร์ด ในวันที่ 31 มกราคม หลังถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองเพียงแค่ 4 นาที เมื่อได้บอลหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะหลอกแปจนผู้รักษาประตูพุ่งไปอีกทาง ให้ปีศาจแดง ขึ้นนำ 3-0 และเอาชนะไปได้ 4-0 ในท้ายที่สุด 

หลังจากนั้น ลาร์สสัน ก็สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นขวัญใจแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ได้รับโอกาสลงสนามเขาจะลงเล่นด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเข้าขากับเพื่อนร่วมทีมเป็นอย่างดี ราวกับว่าอยู่กับทีมมาเป็น 5 ปี 10 ปี 

และประตูในเกมกับ ลีลล์ ก็เป็นอีกหนึ่งลูกที่ทำให้แฟนแมนฯ ยูไนเต็ดไม่มีวันลืมเขา เมื่อ ลาร์สสัน รับบทฮีโร่ยิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะตัวแทนจากฝรั่งเศส ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดที่ 2 

ก่อนเกมนัดนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายบุกไปเอาชนะมาก่อน 1-0 ในนัดแรก แต่ประตูเดียวที่ยิงตุนไว้ยังไม่สามารถการันตีอะไรได้ เพราะถ้าหากลีลล์ยิงนำในเกมนี้ เกมอาจจะต้องยืดเยื้อถึงต่อเวลา หรือยิงจุดโทษ 

ขณะที่เกมกำลังตึงเครียด และเหลือเวลาเพียง 20 นาที ลาร์สสัน ก็ทำให้แฟนเจ้าบ้านได้ฉลอง จากจังหวะลูกครอสของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้าไปในกรอบเขตโทษ และเป็นกองหน้าชาวสวีเดน ที่รับหน้าที่ส่งมันไปกองที่ก้นตาข่าย 

 6

ประตูดังกล่าวช่วยให้ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะไปได้ 1-0 และสกอร์รวม 2-0 พร้อมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี 

หลังจบเกม เขาได้รับการการสแตนดิงโอเวชั่น (ลุกขึ้นยืนปรบมือ) จากแฟนในสนาม นอกจากมันจะเป็นเกมสุดท้ายของเขาในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด แล้ว มันยังเป็นความชื่นชมต่อผลงานของเขาในนัดนั้นอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่ในสนามเท่านั้น

ลาร์สสันที่รุ่นน้องเกรงใจ

ในช่วงเวลานั้น แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รอย คีน และ เดวิด เบ็คแฮม สองผู้เล่นซีเนียร์ เพิ่งจะอำลาทีมไปในไม่กี่ฤดูกาลก่อนหน้า เช่นเดียวกับ ฟาน นิสเตลรอย ที่เพิ่งย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา 

 7

พวกเขาร้างราจากแชมป์พรีเมียร์ลีกมาถึง 3 ฤดูกาล ซึ่งถือว่าเป็นการเว้นช่วงนานที่สุดในยุคของเฟอร์กี้ แม้ทีมจะเต็มไปด้วยขุมกำลังรุ่นใหม่ ทั้ง รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่นอกจาก ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์ และ แกรี่ เนวิลล์ ที่เหลือไม่มีใครเลยที่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ 

นั่นทำให้ ลาร์สสัน ได้เข้ามามีบทบาทร่วมกับนักเตะรุ่นใหญ่ เขากลายเป็นผู้เล่นอิทธิพลของทีมทั้งในห้องแต่งตัว ในสนามซ้อมและในเกมการแข่งขัน ราวกับว่าค้าแข้งกับยูไนเต็ดมานาน 

“ในการฝึกซ้อมเขาทำได้เยี่ยม ทั้งการเคลื่อนที่ และการยืนตำแหน่ง สามประตูที่เขายิงให้เรา เอามาวัดความทุ่มเทของเขาไม่ได้เลย” เฟอร์กูสันกล่าว  
ด้วยประสบการณ์การค้าแข้งมากว่า 18 ปี และยิงไปเกือบ 400 ประตูตลอดชีวิตอาชีพ รวมไปถึงเคยลงเล่นทั้งในเวทีเล็ก เวทีใหญ่ ทำให้เขาสามารถกระตุ้น และแนะนำนักเตะรุ่นน้องได้ไม่ต่างจากนักเตะรุ่นใหญ่คนอื่น  

“ตอนที่เขามาถึง เขาดูเหมือนรูปเคารพสำหรับนักเตะของเรา พวกเขาเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงเกรงๆ” เซอร์อเล็กซ์ ย้อนความหลังใน Alex Ferguson: My Autobiography หนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง   

“แต่สถานะความเป็นรูปเคารพสามารถถูกทำลายลงใน 2 นาที หากผู้เล่นคนนั้นไม่ได้ทำผลงานของตัวเองให้ดี ทว่า ลาร์สสัน ยังคงไว้ซึ่งออราของเขาตอนที่อยู่กับเรา” 

“เขามหัศจรรย์สำหรับเรา ความเป็นมืออาชีพ ทัศนคติของเขา และทุกอย่างที่เขาทำมันยอดเยี่ยมมากๆ” 

ทำให้หลายคนเปรียบเปรยว่าลาร์สสัน ดูคล้ายกับ เอริค คันโตน่า อดีตกองหน้าระดับตำนานของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เคยอยู่กับทีมในช่วงปี 1992-1997 ทั้งในแง่สัญชาตญาณการยิงประตู, เทคนิคที่เหลือร้าย รวมไปถึงอิทธิพลทั้งในและนอกสนาม 

“เราได้นักเตะระดับสูงที่แท้จริงมา เขาดูเหมือนนักเตะของแมนฯ ยูไนเต็ด โดยธรรมชาติ ด้วยท่วงท่าและความกล้าหาญของเขา” เฟอร์กูสันกล่าว 

นัดสุดท้ายในสีเสื้อปีศาจแดง 

ผลงานอันน่าประทับใจของของลาร์สสัน ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามที่จะต่อสัญญากับเขาไปอย่างน้อยจนจบฤดูกาล แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวยืนยันว่าเขาต้องทำตามสัญญา 

 8

“เราอยากให้เขาอยู่ต่อ แต่จริงๆ แล้วเขาสัญญากับครอบครัวและเฮลซิงบอร์ก และผมคิดว่าผมต้องนับถือในการตัดสินใจนั้น แต่ผมก็ได้ทำทุกอย่างไปหมดแล้ว ที่จะรั้งเขาเอาไว้” เฟอร์กูสันกล่าว

นั่นทำให้เกมบุกเยือน มิดเดิลสโบรช์ ในศึกเอฟเอคัพ รอบที่ 6 จะกลายเป็นเกมสุดท้ายของลาร์สสัน ในสีเสื้อของแมนฯ ยูไนเต็ด เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง และลงเล่นครบ 90 นาที 

แม้ว่าเขาจะทำประตูไม่ได้ แต่หลังเกมที่กลับมาห้องแต่งตัว ผู้เล่นและสตาฟฟ์โค้ชต่างลุกขึ้นปรบมือเพื่อเป็นเกียรติให้เขา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่เขาทำให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด มันแทบประเมินค่าไม่ได้ 

“ในเกมสุดท้ายของเขาในสีเสื้อของเราที่มิดเดิลสโบรช์ ลาร์สสันลงมาเล่นในตำแหน่งกองกลางและพาบอลขึ้นไป” เฟอร์กูสันอธิบาย

“ตอนที่เข้ามาในห้องแต่งตัว นักเตะทุกคนต่างลุกขึ้นและปรบมือให้เขา สตาฟฟ์ก็ร่วมด้วย มีนักเตะไม่กี่คนที่สร้างปรากฎการณ์ได้ใน 3 เดือน” 

ตลอด 10 สัปดาห์ ลาร์สสัน ทำให้ปีศาจแดงมากกว่าที่หลายคนคิด เขาลงสนามให้ทีมไปทั้งสิ้น 13 นัดในทุกรายการ และทำให้ทีมคว้าชัยถึง 10 นัด รวมทั้งเก็บแต้มในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 17 คะแนน จาก 7 นัดที่มีเขาอยู่ในสนาม

“เขาควรได้รับเครดิตด้วยตัวเขาเอง ความทุ่มเทในงานของเขาไม่เคยเปลี่ยน และผมก็รู้สึกดีใจจริงๆ ที่ได้เขามาร่วมทีม” เฟอร์กูสันชื่นชม

 9

หลังลาร์สสันอำลาทีมไป แมนฯ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ มันคือแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 3 ปีของพวกเขา และเป็นจุดเริ่มต้นของการคว้าแชมป์ต่ออีก 2 สมัยรวดในอีก 2 ฤดูกาลต่อมา 

ในขณะที่ลาร์สสันในตอนแรก เขาเกือบไม่ได้เหรียญแชมป์เนื่องจากลงเล่นไม่ถึง 10 นัดตามเกณฑ์ แต่ปีศาจแดงร้องขอสมาคมฟุตบอลอังกฤษเป็นกรณีพิเศษ ก่อนที่จะได้รับอนุมัติเช่นเดียวกับ อลัน สมิธ ซึ่งเพิ่งหายเจ็บและลงสนามเกมลีกเพียง 9 นัด

และนั่นคือการแสดงให้เห็นว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ให้ความสำคัญกับเขามากแค่ไหน  

10 สัปดาห์มหัศจรรย์ 

ปัจจุบัน ลาร์สสัน ได้ก้าวสู่เส้นทางโค้ชอย่างเต็มตัว และได้คุมทีมในลีกสวีเดน รวมไปถึงทีมเก่าอย่าง เฮลซิงบอร์ก และเพิ่งมีข่าวว่าอาจจะได้คัมแบ็คมาทำงานในอังกฤษ หลังตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ เซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ด สโมสรในลีกวัน 

 10

แม้จะปิดฉากชีวิตนักเตะอาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลาร์สสัน ก็ยังมีสิ่งที่ติดค้างในใจ และเขาเพิ่งออกมายอมรับภายหลังว่า อันที่จริงเขาอยากจะอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้นานกว่านั้น หรืออยู่กับทีมต่ออีกอย่างน้อยหนึ่งฤดูกาล 

“ถ้าถามความเสียใจที่ผมเคยมีในชีวิตนักฟุตบอล นั่นคือการกลับบ้านมาสวีเดน ตอนที่เฟอร์กูสันพยายามให้ผมอยู่ต่อกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ลาร์สสันกล่าวกับ Telegraph   

“ผมควรจะอยู่ยูไนเต็ดต่อให้นานกว่านั้น เพราะผมมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่นั่น และทุกคนในสโมสรกระตือรือร้นที่ให้ผมอยู่ต่อ เวลาของผมสั้นเกินไป” 

“ประสบการณ์ทั้งหมดที่นั่นมันวิเศษมาก แม้ว่าผมจะอายุ 35 ปีในตอนนั้น แต่ผมยังคงรู้สึกว่าผมมีดีอยู่บ้างในตัว นั่นคือความเสียใจของผม” 

อย่างไรก็ดี เพียงช่วงเวลาแค่นั้น ลาร์สสัน ก็สามารถสร้างปรากฎการณ์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง และเข้าไปอยู่ในใจของแฟนปีศาจแดงได้อย่างเต็มภาคภูมิ ที่เมื่อพูดถึงลาร์สสัน พวกเขาก็ยังนึกถึงเหตุการณ์ในฤดูกาล 2006-07 

มันจึงเป็น 10 สัปดาห์สุดมหัศจรรย์ ที่ยังไม่เคยมีใครเคยทำกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้อีกเลย นับจนถึงทุกวันนี้

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "เฮนริก ลาร์สสัน" : พี่ใหญ่ที่ใช้เวลาแค่ 10 สัปดาห์เพื่อเป็นผู้นำ "ผีแดงยังบลัด"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook