"คาร์ลอส โรอา" : โกลผู้พลาดความรุ่งโรจน์ในอาชีพเพราะเตรียมรับมือกับวันโลกแตก

"คาร์ลอส โรอา" : โกลผู้พลาดความรุ่งโรจน์ในอาชีพเพราะเตรียมรับมือกับวันโลกแตก

"คาร์ลอส โรอา" : โกลผู้พลาดความรุ่งโรจน์ในอาชีพเพราะเตรียมรับมือกับวันโลกแตก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มนุษย์เราส่วนใหญ่นั้นมักจะถูกสอนให้เชื่อในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้และตั้งอยู่บนความเป็นจริง อย่างไรก็ตามยังมีคนบางกลุ่มที่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาคิดและศรัทธากับสิ่งนั้น แม้ว่ามันจะหาคำอธิบายและหลักฐานมาอ้างอิงไม่ได้

นี่คือเรื่องราวของอดีตนายทวารทีมชาติอาร์เจนติน่าที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่, อาเรียล ออร์เตก้า และ กาเบรียล บาติสตูต้า ในฟุตบอลโลกปี 1998 และประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการเฝ้าเสาในลีกยุโรป 

เขาคือ คาร์ลอส โรอา ชายผู้เชื่อว่า "โลกกำลังจะอวสาน" และเพราะสิ่งนี้เขาจึงไม่สามารถเล่นฟุตบอลต่อไปได้ ...

บุตรแห่งพระคริสต์จอมเซฟ

นายทวารหนุ่มรูปร่างดีมีส่วนสูงถึง 190 เซนติเมตร ไม่ใช่เรื่องที่หาได้ง่ายนักกับชาติในอเมริกาใต้อย่าง อาร์เจติน่า โชคดีที่พวกเขามี คาร์ลอส โรอา นายทวารที่ดีและมีผลงานต่อเนื่องมากที่สุดในลีกอาร์เจนติน่านับตั้งแต่เข้าสู่ยุค '90s เป็นต้นมา


Photo : www.insideworldsoccer.com

โรอา เล่นให้กับ ราซิ่ง คลับ ในฐานะประตูมือ 1 ตั้งแต่อายุ 18 ปี ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับทีม ลานุส ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเขามีความทุกข์เล็กๆ ในใจอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือเขารู้สึกว่าฟุตบอลเป็นกิจกรรมที่เบียดเบียนเวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ของเขา และทำให้เขาห่างไกลจากการเป็นชาวคริสต์ที่ดี

เนื่องจาก อาร์เจนติน่า นั้นเคยเป็นอาณานิคมของสเปน มีชาวตะวันตกหลายคนอพยพมาใช้ชีวิตที่นี่ในยุคสร้างชาติ และพวกเขานำเอาศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกเข้ามาด้วย ซึ่งหลังจากนั้นชาว อาร์เจนติน่า ก็นับถือนิกายดังกล่าวเป็นจำนวนถึง 65% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ ณ ปัจจุบัน 

สำหรับชาวคริสต์นั้นมีวันที่พวกเขาจะนับเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ หรือเรียกว่าวัน "สะบาโต" ชาวคริสต์จะฉลองวันพระเจ้าด้วยการหยุดทำงานในวันนี้ (1 วัน/สัปดาห์) โดยมีการอธิบายจากคัมภีร์ไบเบิล อพยพ 20:8-11 ว่า 

"จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์" 

อย่างไรก็ตามวันสะบาโตสำหรับชาวคริสต์ยังมีการถกเถียงกันใน 2 กลุ่มว่าแท้จริงแล้วเป็นวันไหนกันแน่ระหว่างวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ส่วนเหตุผลในการถกเถียงนั้นค่อนข้างซับซ้อน ถึงขั้นต้องใช้ระบบปฏิทินสุริยคติมาอ้างอิงกันเลยทีเดียว

ตัดมาที่ โรอา เขาเติบโตมากับครอบครัวชาวคริสต์โดยแท้ และให้ความศรัทธาต่อพระคริสต์อย่างแรงกล้า ทว่าเส้นทางการประกอบอาชีพของเขาที่ต้องลงเล่นทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ว่าจะเสาร์หรืออาทิตย์ ก็จำเป็นต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้น โรอา จึงต้องจำใจขัดคำสอนและแกล้งมองข้ามวันสะบาโตไป ซึ่งเหตุผลอีกประการคือ ณ เวลานั้นเขาไม่ได้เคร่งครัดทำตามทุกบัญญัติและเลือกที่จะเตะฟุตบอลแทน 

แม้การเล่นฟุตบอลจะบั่นทอนกิจกรรมตามหลักศาสนา แต่ โรอา ทำผลงานออกมาได้ดีมากๆ นอกจากจะคว้าแชมป์ในระดับสโมสรกับทั้ง ราซิ่ง และ ลานุส แล้ว โรอา ก็ก้าวขึ้นมาเป็นมือ 1 ของทีมชาติอาร์เจนติน่าแบบเต็มตัวตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา

เปิดประตูโบยบินสู่ยุโรป

โรอา ลงเล่นให้ อาร์เจนติน่า อย่างต่อเนื่องและเริ่มมีแววจะได้ไปเล่นในลีกใหญ่ในยุโรป ก่อนฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสจะเริ่มได้ไม่นาน ในฤดูกาล 1997-98 โรอา ได้เซ็นสัญญาย้ายไปเล่นให้ มายอร์ก้า ในสเปน ซึ่งกฎของสเปนในตอนนั้นมีโควต้าสำหรับนักเตะที่ถือพาสปอร์ตนอก EU โดยเฉพาะ ดังนั้น โรอา จึงได้สิทธิ์ดังกล่าวและย้ายทีมอย่างไร้ปัญหา หากเขาทำผลงานได้ดี ได้เล่นในสเปนในระยะยาว แน่นอนว่าเขาจะได้พาสปอร์ตสเปน อันเป็นใบเบิกทางสู่ลีกที่เขาชอบที่สุดแต่จุกจิกเรื่องการเข้ามาของนักเตะนอกยุโรปอย่าง พรีเมียร์ลีก ได้ 


Photo : sports.yahoo.com

จุดเริ่มต้นที่ทำให้หลายทีมในยุโรปรู้สึกเสียดายในตัวเขาคือในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่เขาท็อปฟอร์มอย่างที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมสร้างชื่อที่ อาร์เจนติน่า เอาชนะ อังกฤษ ในการดวลจุดโทษซึ่ง โรอา เป็นฮีโร่ของทีมด้วยการเซฟจุดโทษของ เดวิด แบ็ตตี้ และ พอล อินซ์

"ตอนนั้น (ปี 1998) ประเทศอาร์เจนติน่าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศครั้งใหญ่ ผู้คนในประเทศสิ้นหวังและโหยหาความสุขดังนั้นจะมีอะไรดีกว่าการเอาชนะอังกฤษในฟุตบอลโลกได้อีก" โรอา กล่าวกับ เดอะ การ์เดี้ยน

"ผมคุยกับเพื่อนผมในภายหลัง เขาบอกว่าก่อนที่แบ็ตตี้จะยิงลูกนั้น ประเทศอาร์เจนติน่าเงียบกริบไม่มีเสียงใดดังออกมา จนกระทั่งผมเซฟได้นั่นแหละความบ้าคลั่งก็เริ่มขึ้น ราวกับมีใครบางคนไปกดปุ่มเปิดเลยทีเดียว" 

น่าเสียดายที่ อาร์เจนติน่า ของ โรอา ไปได้ไม่ไกลกว่านั้น รอบต่อไปพวกเขาเข้าไปเจอกับ เนเธอร์แลนด์ และโดนเขี่ยตกรอบจากความเหนือชั้นของ เดนิส เบิร์กแคมป์ อย่างไรก็ตามในเกมนั้น โรอา ก็ยังเซฟประตูมากมายอยู่ดี


Photo : www.telegraph.co.uk

เขากลับมารักษาผลงานในระดับสโมสรกับ มายอร์ก้า ได้หลายปีดีดัก ทีม"ชาวเกาะ" ในตอนนั้นเป็นทีมเล็กที่เปี่ยมไปด้วยผู้เล่นชั้นนำโดย ซามูเอล เอโต้, มิเกล อังเคล นาดาล และดาวรุ่งอย่าง อัลเบิร์ต ลูเก้ ดังนั้น มายอร์ก้า จึงเป็นเสี้ยนหนามตัดแต้มทีมใหญ่ประจำ และไปได้ไกลถึงรองแชมป์ โคปา เดล เรย์ บอลถ้วยของสเปน ในฤดูกาล 1997-98 และ คัพ วินเนอร์ส คัพ ครั้งสุดท้าย ในฤดูกาล 1998-99

ทว่าในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี โรอา ก็เกิดความไม่มั่นใจในชีวิตขึ้นมา เขารู้สึกโหวงๆ เหมือนเรือที่ไร้หางเสือไม่รู้จะไปทางไหนดี เหมือนคนที่ยิ่งปีนขึ้นไปบนเขา ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว และเมื่อมองย้อนกลับมาด้านล่าง เหลือแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นที่มองเห็น มันสะท้อนให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเขาหลงลืมหน้าที่ชาวคริสต์ที่ดีไป ...

"ในปี 1999 ผมกลับมาตัดสินใจอุทิศตัวเองเพื่อศาสนาแบบจริงจัง ตอนนั้นไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็เจอแต่คงสงสัยว่าผมจะมาคลั่งอะไรตอนนี้ แต่ในฐานะผู้ติดตามของพระเจ้า ผมกลายเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งมาก ผมเลิกกินเนื้อสัตว์จนคนอื่นตั้งฉายาผมว่าไอ้หัวผักกาด (กินแต่ผัก) ผมและภรรยาเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องอุทิศตนให้ลึกซึ้ง" เขาเล่าว่าตนเองเข้าใจอย่างนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว

แน่นอนว่านั่นคือการเข้าใจผิดอย่างรุนแรง เขาไม่เหลือด้านที่อยู่บนความเป็นจริงอีกเลย ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตที่เป็นขาขึ้น เขาอายุ 29 ปีแล้ว ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ว่ากำลังพีกของผู้รักษาประตู แถมยังมีข่าวลือกับหลายทีมโดยเฉพาะ แมนฯ ยูไนเต็ด ... แต่ ณ เวลานั้น โรอา ไปไกลเกินกว่าคำว่าศาสนาและผู้เคร่งครัดแล้ว เขาก้าวไปสู่นิกายแปลกๆ ที่ชื่อว่า "เซเวนเดย์แอดเวนทิสต์"

เขาถลำลึกไปถึงขั้นที่สามารถใช้คำว่า "เสียสติ" ไปโดยปริยาย

จะอยู่ไปทำไม...

ปีนี้ปี 2019 และย้อนไปเมื่อ 19 ปีก่อน ไม่มีข่าวลือไหนที่ใหญ่โตไปมากกว่า Y2K อีกแล้ว ...

Y2K คือกระแสที่สื่อโหมสะพัดจนกลายเป็นเรื่องเลยเถิดขนาดหนักสำหรับวันขึ้นปีใหม่ของ ค.ศ. 2000 ย้อนกลับไปอ่านข่าวอีกครั้งในตอนนี้มันเป็นเรื่องตลกมาก เพราะพวกเขา "ว่ากันว่า" ระบบคอมพิวเตอร์ ทั่วโลกจะพังพินาศเนื่องจากใช้การบันทึกเลขปี ค.ศ. เพียงแค่ 2 หลักท้าย เช่น 97, 98, 99 เว้น 2 หลักแรกไว้ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าคือ 19 เนื่องจากในยุคสมัยนั้นคนเขียนโปรแกรมยังไม่มีใครนึกถึงว่าระบบจะถูกใช้จนถึงปี 2000 และเมื่อเข้าสู่ปี 2000 ระบบจะบันทึกเป็นปี 00 ซึ่งจะกลายเป็นปี 1900 แทนที่จะเป็นปี 2000 ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบคำนวณวัน เดือน ปี ผิดพลาด ตามด้วยปัญหาในองค์กรและธุรกิจต่างๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ระบบเก่าอีกสารพัด


Photo : www.vancouversun.com

หนักที่สุดคือ Y2K จะนำมาถึงเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าระบบคอมพิวเตอร์ นั่นคือมันจะส่งผลทำให้ "โลกแตก" ซึ่งหากจะขยายความคงต้องใช้คำว่าวันอวสานของโลก ทุกคนจะต้องตายหมด ... ฟังดูไม่น่าเชื่อใช่ไหม แต่ โรอา เชื่อเรื่องนี้สุดขั้วหัวใจ ฟุตบอลเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขาแล้วในเวลานี้

"ผมจะเลิกเล่นฟุตบอลแล้ว ผมทำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันสิ้นโลกและไปยังสถานที่ที่พระเจ้าตระเตรียมทุกสิ่งที่เราต้องการ ผมจะอยู่กับครอบครัว เตรียมพร้อมสำหรับอวสานของโลกในที่ที่ผมสามารถควบคุมทุกอย่างที่เราต้องการได้" โรอา กล่าว

"ปี 2000 จะเป็นปีที่ยากลำบาก ... โลกจะมีแต่สงคราม ความหิวโหย โรคระบาด ความยากจน และปัญหาน้ำท่วม ผมบอกคุณได้เลยว่า ใครก็ตามที่ไม่มีจิตวิญญาณเชื่อมต่อถึงพระผู้เป็นเจ้า และใช้ชีวิตอย่างที่พระองค์ปรารถนาจะต้องเจอกับเรื่องไม่ดีแน่ๆ"


Photo : www.rte.ie

คนบางคนใช้คำพูดมากมายเพื่อสร้างกระแส แต่สำหรับ โรอา ไม่ใช่แบบนั้น เขาเลิกเล่นฟุตบอลจริงๆ เขาพาครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า ณ จังหวัด คอร์โดบา ในอาร์เจนติน่าบ้านเกิด ทิ้งเงินและรายได้ทั้งหมดโดยไม่คิดจะแคร์แม้แต่น้อย ...

แม้จะพูดจริงทำจริง แต่มีบางสิ่งที่เขาต้องยอมรับคือเมื่อปฎิทินบอกวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 ... ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ "ยังเหมือนเดิม" มีเพียงตัวเลขเท่านั้นที่เปลี่ยนไป โลกไม่แตก น้ำไม่ท่วมโลก สงครามไม่ได้ระเบิดโลกนี้จนไม่เหลือใคร และ โรอา ยังอยู่ในป่าเหมือนเดิม

มีคนไปค้นหาและพบเขาในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า วิลล่า เดอ โซโต้ บนเทือกเขา คอร์โดบา Goal สื่อใหญ่ระดับโลกยืนยันว่าวันที่พบเจอเขานั้น โรอา ใช้ชีวิตแบบปลีกวิเวกของแท้แน่นอน เหมือนกับคนป่ายุคโบราณไม่มีผิด ซึ่งที่สุดแล้วทุกคนอยากรู้ว่าเมื่อโลกไม่แตกแล้วเขาจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป?

"ทำไมล่ะ ผมไม่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอีกเลยตลอดชีวิตนี้ ไม่เคยคิดถึงมันสักนิด" เขากล่าวกับสื่อที่ชื่อว่า Ole หลังหลบเข้าไปอยู่ในป่านาน 6 เดือน 

ถ้าถามว่าใครหนักที่สุดสำหรับเคสนี้ คงต้องบอกว่าต้นสังกัดอย่าง มอยอร์ก้า คือทีมที่รับแจ็คพ็อตชิ้นใหญ่ เพราะตอนนั้นว่ากันว่า โรอา กำลังจะเป็นผู้รักษาประตูที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลกด้วยราคา 10 ล้านปอนด์ เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด อยากจะได้เขามาแทนที่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้อำลาทีมหลังคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาล 1998-99 มาก แต่การที่เขาหนีเข้าป่าไปแบบไม่บอกไม่กล่าวทำให้ ยูไนเต็ด หันไปคว้า ฟาเบียน บาร์กเตซ จาก โอลิมปิก มาร์กเซย ในปี 2000 ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านปอนด์แทน ซึ่งราคาของ บาร์กเตซ ในเวลานั้นถือเป็นสถิติโลกแล้ว ... ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มายอร์ก้า ทีมเล็กๆ ที่ต้องการเงินจะเจ็บปวดขนาดไหนที่พลาดดีลสุดคุ้มนี้ไป


Photo : www.si.com

อย่างไรก็ตามกำขี้ก็ยังดีกว่ากำตด มายอร์ก้า ส่งคนไปกล่อมเพื่อให้ โรอา กลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง ... 10 ล้านปอนด์ที่ผ่านมาให้มันแล้วไป วันหน้าฟ้าใหม่อาจจะมีข้อเสนอที่ดีกว่าเข้ามาก็เป็นได้

โรอา ได้ฟังการกล่อมก็บอกว่า "ได้สิ" ... ขณะที่ทีมเจรจากำลังจะเฮลั่นสนั่นซอย แต่แล้ว โรอา ก็ทำให้ทุกคนต้องอึ้งด้วยการบอกว่า "แต่มีข้อแม้ว่าผมจะไม่ลงเล่นในวันเสาร์นะ" สีหน้าที่จะเฮกลายเป็นยิ้มแห้ง เมื่อฟุตบอลแข่งกันทุกเสาร์อาทิตย์ การที่ขอไม่ลงเล่นในวันเสาร์แบบนี้ มายอร์ก้า จะได้อะไรจากเขาบ้าง?

"ไม่ต้องห่วง การหยุดเล่นฟุตบอลมันดีกับผมมาก ผมกลับมาอีกครั้งด้วยความโล่งใจสบายหัวแบบเต็มเปี่ยมจนชักอยากจะเตะบอลขึ้นมาซะแล้ว" โรอา อธิบายถึงความรู้สึกตัวเอง ณ เวลานั้น มันอาจจะทำให้ มายอร์ก้า เบาใจลงได้บ้างสักเล็กน้อย

หาความพอดี 

แม้ความมั่นใจจะเต็มเปี่ยมแต่ความจริงก็คือความจริง 6 เดือนที่หายไปเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเขาไปแล้ว ... ป่าคืนความสุขให้ชีวิต แต่ก็เอาฝีมือการเซฟของเขาออกไปด้วยเช่นกัน

โรอา ไม่เซฟเหมือนเก่าแถมยังมีข้อเสนอไม่เล่นในวันเสาร์อีกต่างหาก เมื่อผลงานไม่ดีแล้วก็ได้เวลาที่ มายอร์ก้า จะเลิกทนกับเขาด้วยการซื้อตัว เลโอ ฟรังโก้ นายด่านเพื่อนร่วมชาติเข้ามาแทน และ ฟรังโก้ ใช้เวลาแว็บเดียวก็เบียด โรอา กระเด็นหลุดทีมไปอย่างง่ายดาย และเขาก็รู้ซึ้งแล้วว่าทำไมมันจึงง่ายเช่นนั้น


Photo : www.si.com

"การกลับสู่ทรงบอลเดิมเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะกับผู้รักษาประตู ยากที่สุดคือการกลับไปอยู่ในความรู้สึกเดิมที่เคยทำได้ ผมพยายามจะทำให้ตัวเองผลงานดีเหมือนตอนบอลโลก 1998 ซึ่งเป็นช่วงพีกที่สุดของผมเลย ผมโชคดีที่มีโอกาสให้พิสูจน์ตัวเอง และผมโชคร้ายที่การกลับไปอยู่จุดนั้นมันกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว" โรอา กล่าว

จากนั้นไม่มีโอกาสเดิมกลับมาเยี่ยมเยียนเขาอีกแล้ว โรอา ได้ไปทดสอบฝีมือกับ อาร์เซน่อล ในช่วงสั้นๆ 5 วัน เมื่อปี 2002 แต่ก็ไม่ผ่านทั้งเรื่องฝีมือและพาสปอร์ต (เขาเล่นให้อาร์เจนติน่าแค่ 16 นัด และ ณ ตอนนั้นเขาหลุดโผทีมชาติไปแล้ว) นั่นจึงทำให้เขาต้องระหกระเหินเล่นให้กับทีมเล็กๆ ในสเปน อย่าง อัลบาเซเต้ แทน 

เมื่อเริ่มมืดแปดด้าน โรอา กลับพบความสว่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การไป อัลบาเซเต้ ทำให้เขาทบทวนหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาเป็นชาวคริสต์ที่ดีจริงหรือที่ทำไปเช่นนั้นและส่งผลครั้งใหญ่กับชีวิต ... ซึ่งช่วงเวลากับทีมเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจนั้นเอง ที่ทำให้เขาค้นพบว่าโลกนี้มีความพอดีซ่อนอยู่ และหากใครก็ตามที่หาเจอผู้นั้นจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง

"ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีที่ อัลบาเซเต้ แต่คุณรู้ไหม ผมได้รับบททดสอบจากพระเจ้าด้วยการเป็นมะเร็งอัณฑะ นอกจากนี้ตอนไปทัวร์ที่ คองโก ผมก็ติดโรคมาลาเรียมาอีก ... สุดท้ายก็เพราะการเป็นชาวคริสต์นั่นแหละที่ทำให้ผมแข็งแกร่งและเอาชนะมันได้ทุกโรค"


Photo : FourFourTwo

"ผมอธิบายมากกว่านี้ให้คุณเข้าใจไม่ได้หรอกว่าปาฎิหาริย์เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่คุณเองนั่นและต้องหาลงมือหามันให้เจอเอง พระเจ้าส่งสัญญาณบอกผมว่าจงตั้งใจมีชีวิตต่อไป ซึ่งผมเชื่อและมันคือชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง"

"ผมไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร (หลังหมดสัญญายืมตัวกับ อัลบาเซเต้) ถ้าหาสโมสรใหม่ไม่ได้ผมก็แค่เลิกเล่น แต่มันไม่ใช่เรื่องแน่ ... หลังจากเอาชนะความเจ็บป่วย ชีวิตผมรู้จักแต่ความสุข ผมเติมมันใส่ตัวเองทุกวัน และไม่เคยวางแผนในระยะที่ยาวเกินไปจนมองไม่เห็น ที่สำคัญคือจากนี้ไม่ว่าจะดีจะร้ายแค่ไหน ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมต้องทำคือเผชิญหน้ากับพวกมันเท่านั้นเอง" 

ช่วงชีวิตหลังจากนั้น โรอา ย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับทีม โอลิมโป ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในปี 2006 และถามหากจะถามว่าบทเรียนชีวิตและการหาความหมายของที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาคืออะไร โรอา จะตอบคุณว่า การใช้ชีวิตตามความเหมาะและตั้งอยู่บนความเป็นจริงคือสิ่งที่ "เรียลที่สุด" เท่าที่เขาเคยได้เรียนรู้

หลายปีก่อนที่เขาเป็นประตูที่ดีเป็นลำดับต้นๆ ของโลก เขาคิดว่าตัวเองเป็นชาวคริสต์ที่แย่มาก ไม่มีความศรัทธา ไม่ยึดถือคัมภีร์ไบเบิลให้พระเจ้านำทางทุกฝีก้าว แต่เมื่อเขาตัดสินใจที่จะหักดิบ มันทำให้อาชีพของนักฟุตบอลของเขาจบลง ...

ทว่าในวันที่ได้ชีวิตใหม่ที่แสนมีความสุข เขากลับพบว่าการเป็นชาวคริสต์ที่แย่แบบเมื่อครั้งอดีตต่างหาก เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของเขามากกว่า 

โรอา กะเทาะเปลือกออกและเข้าถึงแก่นของการเป็นชาวคริสต์ ซึ่งสุดท้ายเขาเชื่อว่าความศรัทธาและเชื่อมั่นในศาสนาทำให้เขารอดตายจากโรคร้ายและมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ... 

ซึ่งเมื่อเหลือแต่แก่นและเลิกยึดถือสิ่งที่ทำแล้วเบียดเบียนตัวเอง คาร์ลอส โรอา ก็กลายเป็นชาวคริสต์ที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่คุณจะนึกได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook