ลุ้นแชมป์เต็มตัว! "มาร์โค โรเซ่อ" ผู้นำ "สิงห์หนุ่ม" กลับมาผงาดอีกครั้ง
นับเป็นหนแรกในรอบเกือบสิบปีที่โบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัคสามารถขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงในบุนเดสลีกาได้ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พลพรรค “สิงห์หนุ่ม” สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมนีได้นั้นต้องย้อนกลับไปถึงฤดูกาล 1976/77 เลยทีเดียว
หลังพวกเขาถล่มเอาก์สบวร์กได้ในแมตช์เดย์ที่ 7 ถึง 5-1 ประตู ส่งผลให้กลัดบัคทะยานขึ้นนำจ่าฝูงบนตารางลีกและรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้ จึงเป็นที่พูดถึงกันมากมายว่าการลุ้นแชมป์บุนเดสลีกาในปีนี้ค่อนข้างเปิดกว้างกว่าทุกครั้ง หลายฝ่ายก็ลุ้นว่า มาร์โค โรเซ่อ กุนซือใหญ่ของกลัดบัคจะพาทีมกลับมาเถลิงแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ได้เหมือนสมัยยุครุ่งเรืองของสโมสรในช่วงทศวรรษที่ 70 ได้หรือไม่
มารื้อฟื้นกันสักหน่อยว่ากลัดบัคนั้นผ่านอะไรมาบ้างก่อนจะขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ได้
ประวัติศาสตร์น่ารู้
สำหรับยุคปัจจุบัน บาเยิร์น มิวนิค ถือเป็นสโมสรในบุนเดสลีกาที่มีแฟนบอลอยู่มากมายอันเนื่องมาจากความสำเร็จที่สโมสรสั่งสมมา ทั้งรายการภายในประเทศและในเวทียุโรป โดยมีสโมสรอื่นๆ อีกเพียงแค่ 4 สโมสรเท่านั้นที่สามารถเบียดแย่งเข้ามาคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกาได้ในช่วงหลังสหัสวรรษใหม่ ได้แก่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แวร์เดอร์ เบรเมน เฟาเอฟเบ ชตุทท์การ์ท และ โวล์ฟสบวร์ก ซึ่งทั้ง 4 สโมสรดังกล่าวคว้าแชมป์รวมกันได้เพียง 6 สมัย อีกที่เหลือ 14 สมัยนั้นโดนพี่เสือฟาดเรียบ...
แต่ก่อนที่ทีมเสือใต้จะครองความยิ่งใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้ บาเยิร์นกับกลัดบัคต่างก็เคยเป็นทีมคู่ปรับที่สลับกันครองแชมป์ลีกมาตลอดนับตั้งแต่ปี 1968 ถึง 1977 เฮนเนส ไวส์ไวเลอร์ คือชื่อของชายผู้วางรากฐานสำคัญที่ช่วยให้กลัดบัคประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดของเยอรมนี เขาพัฒนาทีมให้เล่นเกมเร็วและเน้นเกมรุกด้วยพลังนักเตะหนุ่มจนทีมได้ฉายาว่า “ม้าหนุ่ม” ที่สโมสรสรภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้ (หรือที่คนไทยเราเรียกว่า “สิงห์หนุ่ม” นั่นเอง)
กลัดบัคคือแหล่งบ่มเพาะฝีเท้านักเตะชั้นดีมากมาย ทั้ง กึนเทอร์ เนตเซอร์ แฮร์แบร์ท วิมเมอร์ ฮอร์สต์ เคิพเพล หรือนักเตะเยอรมันที่ชาวไทยคุ้นชื่อกันดีอย่าง แบร์ตี้ โฟกส์ และ ยุปป์ ไฮน์เคส โดยไฮน์เคสผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทีมบาเยิร์นในยุคปัจจุบันนั้นเคยค้าแข้งกับกลัดบัคถึง 8 ปี ยิงให้ทีมสิงห์หนุ่มไปถึง 168 ประตูในบุนเดสลีกา
นอกจากนี้กลัดบัคยังเคยคว้าแชมป์ยูเอฟ่าคัพได้ในปี 1975 และ 1979 อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่อยู่ๆ พวกเขาก็เกิดฟอร์มสะดุดอย่างฉับพลันในช่วงยุค 80 จนในที่สุดสโมสรแห่งนี้ก็มิอาจเทียบเทียมทีมบาเยิร์นได้อีกต่อไปทั้งเรื่องฟอร์มการเล่นและสถานภาพทางการเงิน จะมีก็เพียงแชมป์เดเอฟเบคัพในฤดูกาล 1994/95 และแชมป์บุนเดสลีกา 2 ในฤดูกาล 2007/08 เท่านั้นที่พอทำให้แฟนบอลได้ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง
มีลุ้นแชมป์จริงหรือ?
หลังต้องตกชั้นไปเล่นในบุนเดสลีกา 2 และต่อสู้เลื่อนชั้นกลับมาได้สำเร็จ กลัดบัคก็สามารถพัฒนากลับมาเป็นทีมที่ยึดโควต้าไปลุยศึกฟุตบอลยุโรปได้เสมอนับตั้งแต่ฤดูกาล 2011/12 เริ่มจากการเข้ามาดูแลทีมของลูเซียง ฟาฟร์ เฮ้ดโค้ชดอร์ทมุนด์คนปัจจุบัน ตามด้วย อันเดร ชูแบร์ต และ ดีเทอร์ เฮคคิ่ง จนมาถึงโรเซ่อ เฮ้ดโค้ชคนล่าสุดที่กำลังพากลัดบัคทะยานสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาลนี้
หลังผ่านไป 11 เกมลีกในฤดูกาลปัจจุบัน กลัดบัคนำเป็นจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีสิทธิ์สูงที่จะหยุดสถิติแชมป์ต่อเนื่องของบาเยิร์นเอาไว้ที่ 7 สมัย แต่ทว่าส่วนต่างคะแนนของทีมในท็อป 6 นั้นอยู่ที่ 6 คะแนนเท่านั้น อะไรก็จึงยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะด้วยฟอร์มการเล่นที่แต่ละทีมต่างก็มีสิทธิ์เอาชนะกันได้ทั้งนั้น
“การยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้ถือเป็นโบนัสของเรา” โรเซ่อให้สัมภาษณ์หลังเกมกับเอาก์สบวร์ก “แต่ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่าอันดับบนตารางมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าเรารู้สึกอย่างไรกันแน่ที่ได้นำเป็นจ่าฝูงในตอนนี้!”
ยุคของโรเซ่อ
คริสตอฟ คราเมอร์ แข้งกลัดบัคดีกรีแชมป์โลกปี 2014 ก็ได้ออกมาเอ่ยปากยกความดีความชอบในฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของทีมให้กับมาร์โค โรเซ่อ โดยหลังจากที่สโมสรทำผลงานได้ย่ำแย่มาหลายต่อหลายปี ตอนนี้โรเซ่อกำลังชุบชิวิตจิตวิญญาณของทีมสิงห์หนุ่มและแฟนบอลให้กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง การเล่นเกมเพรสซิ่งสูง คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยสำเร็จในหลายๆ เกมที่ผ่านมา
สมัยยังค้าแข้ง โรเซ่อเคยเป็นกองหลังของทีมไลป์ซิก ฮันโนเวอร์ และย้ายไปอยู่ทีมไมนซ์ของเยือร์เก้น คล็อปป์ในปี 2002 เขาค้าแข้งที่นั่นถึง 8 ปีก่อนจะขยับมาเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมสำรองในปี 2010 จากนั้นเขาก็ได้รับโอกาสให้คุมทีมเยาวชนซัลซ์บวร์กเป็นเวลา 4 ปี และได้รับตำแหน่งเฮ้ดโค้ชในฤดูกาล 2017/18 ในที่สุด
สองฤดูกาลกับการคุมทีมซัลซ์บวร์ก โรเซ่อพาทีมทะลุถึงรอบรองชนะเลิศศึกยูเอฟ่า ยูโรปาลีก สร้างผลงานสุดยอดไม่แพ้ใครเลยในบ้านถึง 53 นัดรวมทุกรายการแม้จะต้องเจอคู่แข่งโหดๆ อย่าง ดอร์ทมุนด์ ลาซิโอ นาโปลี มาร์กเซย์ หรือไลป์ซิกก็ตาม
สิงห์หนุ่มพันธุ์ดี
โรเซ่อสามารถซื้อใจนักเตะในทีมได้มากขึ้นเรื่อยๆ กลัดบัคดูกำลังมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก นักเตะและโค้ชมีเคมีที่เข้ากัน จากชัยชนะเหนือเอาก์สบวร์ก แฟรงค์เฟิร์ต ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ฮอฟเฟนไฮม์ และเบรเมน พิสูจน์ได้ว่าพวกเขากำลังเดินมาถูกทางแล้ว
ถึงตอนนี้พวกเขาเก็บได้ 25 คะแนน ยิงไปแล้ว 24 ประตู (มีเพียงบาเยิร์นและไลป์ซิกเท่านั้นที่ยิงได้มากกว่า) โดยมีสามทหารเสือในเกมรุกที่เป็นกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จนี้ ได้แก่ อลาสซาเน่ เพลอา มาร์คัส ตูราม และ บรีล เอ็มโบโล ที่เล่นเกมบุกได้อย่างทรงพลัง สามคนนี้มีส่วนกับการทำประตูของทีมในบุนเดสลีกาถึง 22 ประตู
สำหรับมาร์คัส ตูรามแล้ว ไม่ง่ายเลยกับการเกิดเป็นลูกชายของตำนานแข้งแดนน้ำหอมอย่าง ลิลิยง ตูราม แต่มาร์คัสก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเข้าได้แบกเอาคุณภาพของนามสกุลตูรามบนหลังเสื้อมาสู่สนามแข่งด้วย แข้งดาวรุ่งวัย 21 ปีเพิ่งถูกแฟนบอลโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของกลัดบัคประจำเดือนกันยายน เขายิงไปแล้ว 5 ประตูรวมทั้งจ่าย 5 แอสซิสต์นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมสิงห์หนุ่ม จนในที่สุดก็ได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งบุนเดสลีกาประจำเดือนตุลาคม พลังแห่งนักเตะหนุ่มของทีมนี่แหละที่นำกลัดบัคผงาดขึ้นมาท้าชิงแชมป์กับทีมระดับสูงที่มีผู้เล่นระดับเวิลด์คลาส
มาร์โค โรเซ่อ เพิ่งจะอายุได้ 2 สัปดาห์เท่านั้นในตอนที่ยุปป์ ไฮน์เคส ตะบันแฮตทริกให้กลัดบัคชนะโรท-ไวซ์ เอสเซน 6-0 ประตู พร้อมทะยานขึ้นรั้งตำแหน่งจ่าฝูงในเดือนกันยายนปี 1976 ก่อนที่อีก 8 เดือนต่อมากลัดบัคจะคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จโดยที่แฟนบอลไม่รู้เลยว่าการลุ้นแชมป์อีกครั้งของพวกเขานั้นต้องรอต่อไปอีกกว่า 40 ปี นี่อาจเป็นปีที่โรเซ่ออจะสามารถนำจิตวิญญาณและพลังของสิงห์หนุ่มกลับมาสู่สนามโบรุสเซียพาร์คได้อีกครั้งหนึ่ง...