I’m Number 8 : การปล่อยตัว "มินามิโนะ" ลุยยุโรปที่เดิมพันอนาคตฟุตบอลญี่ปุ่น

I’m Number 8 : การปล่อยตัว "มินามิโนะ" ลุยยุโรปที่เดิมพันอนาคตฟุตบอลญี่ปุ่น

I’m Number 8 : การปล่อยตัว "มินามิโนะ" ลุยยุโรปที่เดิมพันอนาคตฟุตบอลญี่ปุ่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เซเรโซ่ โอซาก้า คือสโมสรที่มีธรรมเนียมพิเศษไม่เหมือนใครอยู่ 1 อย่าง นั่นคือหากมีนักเตะคนใดที่พวกเขาพร้อมจะปั้นและส่งออกไปยังยุโรป พวกเขาจะให้นักเตะคนนั้นใส่เสื้อหมายเลข 8 ของทีม และเมื่อใดที่มีทีมติดต่อมาพวกเขาก็พร้อมจะขายออกไปในราคาที่ถูกแบบไม่น่าเชื่อ ... เพื่ออนาคตของนักเตะ และวงการฟุตบอลญี่ปุ่น

ชินจิ คากาวะ, ทาคาชิ อินุอิ, ฮิโรชิ คิโยทาเกะ และ โยอิชิโระ คาคิตานิ ที่ไปเล่นในต่างแดนก่อนหน้านี้ต่างก็เคยสวมเบอร์ 8 ของ เซเรโซ่ มาแล้วทั้งนั้น 

แต่มีนักเตะอยู่คนหนึ่งที่ขึ้นชุดใหญ่ได้เพียงไม่กี่ปีและถูกวางให้เป็นเบอร์ 8 คนต่อไป ทว่าทุกอย่างผิดแผนเพราะเขาดันเก่งจนเข้าตาแมวมองในยุโรปตั้งแต่อายุ 18 ปีเท่านั้น ... 

เขาใส่เสื้อเบอร์ 13 และมีชื่อว่า ทาคุมิ มินามิโนะ นักเตะที่กำลังมีข่าวว่าจะได้กลายเป็นสมาชิกใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในปี 2020 นี้

ติดตามเรื่องราวของนักเตะที่แหกขนบของ เซเรโซ เพราะความสามารถที่มาเร็วกว่าเหล่ารุ่นพี่ได้ที่นี่ 

เบอร์ 8 แห่ง เซเรโซj

เซเรโซj โอซาก้า คือ 1 ในสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น แต่ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคว้าแชมป์ เจลีก ได้เลย แม้ว่าจะก่อตั้งสโมสรมากว่า 63 ปี นับตั้งแต่สมัยใช้ชื่อว่า ยันมาร์ ดีเซล ... อย่างไรก็ตามมีปณิธานข้อหนึ่งที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าสโมสรอื่นๆ นั่นคือการสร้างทีมเพื่อความแข็งแกร่งของภาพรวมวงการญี่ปุ่น ส่วนแชมป์นั้น "แค่เรื่องเล็ก" 


Photo : soccerkansen-torisetsu.com

แม้ฟังดูแล้วจะเป็นนโยบายที่ดูโลกสวยสวนทางกับโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน แต่ความจริงคือ เซเรโซ คือทีมที่ตั้งใจจะสร้างนักฟุตบอลท้องถิ่นให้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะแถวหน้าของประเทศ และเมื่อไปถึงจุดนั้นได้แล้ว ก็จะเป็นสเต็ปต่อไปที่พูดได้ว่าเป็นการเสียสละเต็มรูปแบบของสโมสร นั่นคือพวกเขาจะปล่อยเด็กๆ ที่ขุนขึ้นมากับมือให้ไปเล่นกับสโมสรในยุโรปด้วยค่าตัวที่ถูกเสียยิ่งกว่าถูก ... จะด้วยอำนาจในการต่อรองหรืออะไรก็ตาม ค่าตัวของนักเตะบางคนถูกกว่าการซื้อขายนักเตะในไทยลีกยุคปัจจุบันเลยด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตามการปั้นนักเตะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะอยากปั้นดาวรุ่งขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ความจริงคือ การจะก้าวจากระดับลีกญี่ปุ่นสู่ลีกยุโรปนั้น มีโควค้าเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น และโควต้าดังกล่าวจะต้องเป็นของนักเตะที่เก่งจริง ในระดับ "เดอะ แบก" ที่ทีมขาดไม่ได้ 

หากไล่เรียงนักเตะที่ เซเรโซ ปลุกปั้นและส่งไปยุโรป ไล่เรียงมาตั้งแต่ ชินจิ คากาวะ (250,000 ยูโร ไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), ทาคาชิ อินุอิ (500,000 ยูโร ไป โบคุ่ม), ฮิโรชิ คิโยทาเกะ (1 ล้านยูโร ไป เนิร์นแบร์ก), โยอิชิโระ คาคิตานิ (1.5 ล้านยูโร ไป บาเซิล) โฮตารุ ยามากุชิ (1 ล้านยูโร ไป ฮันโนเวอร์) และสุดท้าย ทาคุมิ มินามิโนะ (800,000 ยูโร ไป เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก) 


Photo : www.yanmar.com

จากราคาการปล่อยนักเตะระดับคีย์แมนเหล่านี้จะเห็นได้ว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก หากเทียบกับตลาดซื้อขายในยุคที่นักเตะเกรดธรรมดาๆ โดนซื้อกันในราคาหลัก 10 ล้านยูโร ในตลาดโลก ซึ่งการที่ เซเรโซ่ ยอมปล่อยสมบัติของสโมสรออกไปในราคาที่ถูกขนาดนี้ ก็พอจะที่จะยืนยันถึงปณิธานของสโมสรที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่งในภาพรวมของวงการฟุตบอลญี่ปุ่นได้เป็นอย่าง

มีตัวเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ อยู่กรณีหนึ่ง ซึ่งเป็นรายของเพลย์เมคเกอร์ชาวเกาหลีใต้ที่ชื่อว่า คิม โบ คยอง ที่ เซเรโซ ดึงตัวมาตั้งแต่อายุ 20 ปี ก่อนจะขายให้กับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ด้วยราคาถึง 3 ล้านปอนด์ มากกว่าค่าตัวของทั้ง คากาวะ, มินามิโนะ และ คิโยทาเกะ รวมกันอีกด้วยซ้ำ 

กลับมาที่นักเตะที่ เซเรโซ่ ปั้นขายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักเตะเกมรุกสไตล์เพลย์เมคเกอร์ และที่ เซเรโซ่ มีสิ่งที่สามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้าว่าใครจะเป็นคนต่อไปที่ได้ไปยุโรปนั่นก็คือ "เบอร์เสื้อหมายเลข 8" ซึ่งหากใครได้สวมใส่เสื้อตัวนี้เปรียบได้กับสัญญาณเตือนว่า เตรียมตัวให้พร้อม คุณจะได้ไปเล่นในยุโรปในอนาคตแน่นอน ซึ่งเบอร์ 8 นี้ก็ถูกสวมใส่ทั้ง คากาวะ, อินุอิ, คิโยทาเกะ และ คาคิตานิ ก็เคยใส่เสื้อเบอร์นี้ทั้งนั้น 

อย่างไรก็ตามสำหรับ มินามิโนะ นั้นเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปจากรุ่นพี่ของเขา เพราะ มินามิโนะ นั้นใส่เสื้อหมายเลข 13 ซึ่ง ณ ช่วงปี 2014 เขาอายุแค่ 18 ปี และกำลังจะโดนดันไปใส่หมายเลข 8 นักเตะเก่งๆ ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าเขาเก่งเกินไปจนได้ย้ายไปออกจากญี่ปุ่นตั้งแต่อายุย่าง 19 ปีเท่านั้น

ก้าวกระโดด 

มินามิโนะ นั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ เซเรโซ่ ตั้งแต่อายุ 17 ปี และก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัว ชินจิ คากาวะ มาจาก ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ และหลังจากทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัย 20 พวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางมาปรีซีซั่นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมี เซเรโซ่ โอซาก้า เป็นทีมที่อยู่ในโปรแกรมนั้น ... จุดเชื่อมโยงของเรื่องนี้ดูจะมีเหตุผลด้านธุรกิจอยู่ด้วย เพราะในขณะนั้น ยันมาร์ เจ้าของทีมเซเรโซ เป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมปีศาจแดงอยู่พอดี


Photo : www.zimbio.com

ในขณะที่แฟนเซเรโซส่วนใหญ่ตั้งตารอการกลับมาเยือนถิ่นเก่าของ คากาวะ แต่เมื่อเกมเริ่มขึ้นกลับกลายเป็นว่าดาวรุ่งอย่าง มินามิโนะ โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ และกลายเป็นผู้ยิงประตูในเกมดังกล่าวที่เสมอกัน 2-2 ได้อีกด้วย ซึ่งในฤดูกาลนั้น มินามิโนะ ในตำแหน่งปีกซ้ายลงเล่นถึง 42 เกม ยิงได้ 8 ประตูเป็นรองเพียง ดิเอโก้ ฟอร์ลัน ดาวยิงชาวอุรุกวัยคนเดียวเท่านั้น ซึ่งหลังจากจบฤดูกาล 2014 เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก ก็คว้าตัวไปร่วมทีม แม้ในปีนั้น เซเรโซ จะตกชั้นจาก J1 ลีกสูงสุดก็ตาม

แน่นอนว่าในรายของ มินามิโนะ นั้นเป็นแข้งส่งออกที่อายุน้อยที่สุดที่ เซเรโซ่ เคยปล่อยไปเล่นในยุโรป แม้ว่าด้วยวัยแค่ 19 ปี บางครั้งมันอาจจะดูเหมือนว่าเร็วเกินไป แต่ เซเรโซ มีเหตุผลที่ปล่อยไปยัง ซัลซ์บวร์ก เพราะทีมดังจากลีก ออสเตรีย เป็นทีมที่มีระบบการบริหารคล้ายๆ กันในส่วนของปลายทาง นั่นคือการสร้างนักเตะเพื่อขายให้กับสโมสรที่ใหญ่กว่า เพียงแต่ต่างกันในส่วนของอุดมการณ์เท่านั้น เซเรโซ่ ขายนักเตะเพื่อพัฒนาการต่อยอด แต่ ซัลซ์บวร์ก ขายเพื่อทำกำไร 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่การันตีแน่นอนเมื่อ ซัลซ์บวร์ก สนใจนักเตะนอกประเทศ คือนักเตะคนนั้นมีแววจะไปต่อได้ เพราะก่อนหน้านี้อดีตนักเตะชื่อดังทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ นาบี เกอิตา ที่ปัจจุบันอยู่กับ ลิเวอร์พูล ก็มีช่วงเวลาเริ่มต้นอาชีพในลีกยุโรปกับ ซัลซ์บวร์ก ทั้งนั้น หากเด็กคนไหน เล่นดี มีของ รับรองว่าโอกาสลงสนามนั้นย่อมเปิดกว้างเป็นเงาตามตัว

ในส่วนของ มินามิโนะ ก็เช่นกันตัวเลขและสถิติการลงสนามให้ ซัลซ์บวร์ก ของเขามีพัฒนาการขึ้นแทบทุกปี แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ้าง แต่ทุกฤดูกาลเขาจะได้ลงเล่นเฉลี่ยฤดูกาลละ 30 นัดขึ้นไป และมีประตูเฉลี่ยปีละ 10 ลูก ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่ทันได้สวมเบอร์ 8 ของ เซเรโซ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขามาทางลัดข้ามขั้นต่อแต่อย่างใด 


Photo : www.sn.at

"ผมมาถึงออสเตรียและเริ่มเรียนภาษาเยอรมันหนักมาก (คนออสเตรียส่วนใหญ่พูดเยอรมัน) และมันดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ (ณ ปี 2016) มันยังห่างไกลจากคำว่าพูดพูดคล่องปร๋อคุยกับคนอื่นได้คล่องแคล่ว แต่รวมๆ แล้วผมสามารถสื่้อสารกับเพื่อนร่วมทีมในสนามได้แล้ว และสามารถสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินได้ด้วย"  มินามิโนะ เล่าย้อนกลับไปในวันแรกที่เขามาที่ ออสเตรีย และเริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ หลายอย่าง รวมถึงผลงานที่ดีในสนาม

สิ่งหนึ่งที่เขาแสดงออกมาตอนเล่นกับ ซัลซ์บวร์ก คือความมุ่งมั่น ที่เป็นลายเซ็นของนักเตะญี่ปุ่นแทบทุกคน ตัวของ มินามิโนะ นั้นมาถึง ออสเตรีย และเริ่มฝึกภาษาเยอรมันทันที ช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือนเขาสามารถเรียนรู้ภาษาเยอรมันเบื้องต้นได้บ้างแล้ว แม้ว่าสโมสรจะมีล่ามส่วนตัวให้ก็ตาม นอกจากนี้เขายังเริ่มปรับตัวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นทั้งเรื่องอาหารการกินต่างๆ เพื่อให้เข้ากับทีมได้ไวขึ้น มีเรื่องขำๆ ที่เขาเป็นคนเล่าว่าตอนแรกเขากินเส้นพาสต้าแบบเพื่อนๆ ไม่ได้เลย จนต้องเอาหม้อหุงข้าวมาหุงข้าวกินเอง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเลิกใช้มันและปรับตัวใช้ชีวิต กิน-อยู่ ให้เหมือนกับคนท้องถิ่นมากที่สุด 

ช้าหรือเร็วไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าเมื่ออกมาจากคอมฟอร์ทโซนแล้ว มินามิโนะ สามารถรู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี มันมีเรื่องราวเดิมๆ ที่เราได้ยินมาจนเบื่อว่ายอดนักเตะมักจะมาสนามซ้อมก่อน และกลับทีหลัง ซึ่งตัวของ มินามิโนะ เองก็ไม่ต่างกัน เขาเข้าใจดีว่าการมาอยู่ ณ จุดนี้ สิ่งจำเป็นคือการต้องไปข้างหน้าห้ามหยุด เพราะที่ ซัลซ์บวร์ก มีนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีจากทั่วโลกเข้ามาสู่ทีมแทบทุกปี 

"ผมดีใจนะที่ได้มาที่นี่ และได้พัฒนาการเล่นของตัวเองขึ้นมาอีก ซึ่งบอกตรงๆ ผมยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง มีอีกเยอะที่ผมต้องเรียนรู้ ทุกการฝึกซ้อมผมใส่หมดแม็กซ์เลยเพราะมันหมายถึงโอกาสลงสนามที่มากขึ้น โดยส่วนตัวแล้วผมประเมินตัวเองว่าผมทำได้ดีนะ ผมทำให้โค้ชพอใจกับฟอร์มการเล่นในระดับหนึ่ง" เขาว่าต่อ

ประกาศจบการศึกษากับ "ซัลซ์บวร์ก"

มินามิโนะ อยู่กับ ซัลซ์บวร์ก ตั้งแต่ปี 2014 ถึงตอนนี้ก็ 5 ปี เข้าไปแล้ว ถือว่าเป็นการปั้นนักเตะคนหนึ่งที่ใช้ระยะเวลานานพอดู เพราะปกตินักเตะดาวรุ่งที่มาฟักตัวกับ ซัลซ์บวร์ก มักจะโดนขายทำกำไรทันทีในระยะการปลุกปั้นอยู่ที่ไม่เกิน 3 ปี (มาเน่ 2 ปีครึ่ง, เกอิต้า ใช้เวลา 2 ปี)


Photo : za.bfn.life

นอกจากนี้ระยะเวลา 5 ปี สามารถบอกเราได้ว่าแม้ความสามารถของ มินามิโนะ จะโดดเด่นแค่ไหน แต่ขีดจำกัดของเขาคือเรื่องที่ยังต้องพิสูจน์กันต่อไป และแฟนๆ ที่หวังในตัวของเขาต้องใจเย็นๆ ดูไปทีละสเต็ป เพราะโดยปกติแล้วนักเตะระดับคีย์เพลย์เยอร์ของ ซัลซ์บวร์ก ที่มีค่าฉีกสัญญาแค่ราวๆ 7 ล้านปอนด์ น่าจะโดนทีมใหญ่ๆ ปาดหน้าเค้กไปก่อนเสมอ ไม่น่าจะอยู่กับทีมได้นานถึงขนาดนี้ เพราะนักเตะที่ขายไปก่อนหน้านี้ทำเงินให้ทีมก้อนโตทั้งนั้น ราคา 7 ล้านปอนด์ นั้นถือเป็นราคาขายที่อยู่ในลำดับที่ 20 ของสโมสรเลยทีเดียว นักเตะ 5 อันดับแรกที่แพงที่สุดที่ ซัลซ์บวร์ก ขายได้ มีค่าตัวเกิน 20 ล้านยูโรทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงการเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้เท่านั้น เพราะความจริงคือสิ่งที่ยังต้องพิสูจน์กันต่อไป และนักเตะบางคนก็ต้องการที่ทางที่ถูกต้องของตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่จะย้ายออกไปในราคาแพงและจะประสบความสำเร็จ และมีไม่น้อยที่นักเตะราคาถูกๆ สามารถพัฒนาตัวเองไปได้ไกลกว่าที่ใครคาดคิดไว้

ณ ตอนนี้อย่างที่ทุกคนทราบกัน ทั้งสื่อจากอังกฤษและคนวงในของซัลซ์บวร์กต่างก็ยืนยันว่า มินามิโนะ กำลังจะกลายเป็นนักเตะญี่ปุ่นคนแรกที่ได้อยู่กับ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์ยุโรป ณ ปัจจุบัน หลังจากโชว์ผลงานให้เห็นแบบจะๆ ในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มที่สามารถใช้คำว่า "เล่นดีทุกนัด" โดยเฉพาะเกมกับ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ที่เขาสามารถทำประตูได้ด้วย 


Photo : www.liverpool.com

ในส่วนของแท็คติกและแผนการเล่นนั้น มีหลายเว็บไซต์ของต่างประเทศเริ่มเขียนบทความวิเคราะห์สไตล์ของ มินามิโนะ ออกมาบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ชี้ชัดไปในทิศทางคล้ายๆ กันว่า เขาเป็นนักเตะตัวรุกสมัยใหม่ที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแผงเกมรุกหลังกองหน้า และจุดเด่นทางด้านทักษะคือการเล่นบอลจังหวะแรกที่ได้เปรียบ และเป็นนักเตะที่มีความเข้าใจเกมสูง มักมองหาเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเขาเพื่อผ่านบอลให้ยิงประตูเสมอ 

แต่ส่วนที่น่าสนใจที่พอจะบอกได้ว่าทำไม ลิเวอร์พูล สนใจจะคว้าตัวเขาคือ การเป็นนักเตะที่เล่นเกมรับตั้งแต่แดนหน้าได้ดี โดยมีข้อมูลฮีทแมพแสดงพื้นที่การวิ่งจากเว็บไซต์ totalfootballanalysis.com ที่บอกว่า มินามิโนะ เป็นคนที่วิ่งถอยมาเป็นปีกตัวรับ และช่วยให้นักเตะในแนวรับของทีมมีงานที่เบาลง ส่วนใหญ่เขาจะเข้ามาเพื่อช่วยรุมแย่งแบบ 2 ต่อ 1 หรือ 3 ต่อ 1 เพื่อนำเอาบอลกลับมาเล่นให้เร็วที่สุด  ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทางเว็บไซต์ดังกล่าวได้ตามเก็บข้อมูลและลงบทวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2018 แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะกลายเป็นกระแสอย่างทุกวันนี้ 

การมีทักษะที่ค่อนข้างรอบด้าน และตอบโจทย์กับบอลของ ลิเวอร์พูล ที่เน้นความเข้าใจเกม การเคลื่อนที่ และการเล่นเกมรับ-รุก พร้อมกันทั้งทีม นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม หงส์แดง จึงยอมจ่ายเงินฉีกสัญญาเพื่อให้ได้เขามาร่วมทีม  

แม้จะมีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา แต่ความจริงคือลีกออสเตรีย นั้นไม่ได้มีคู่แข่งที่สามารถท้าทายเขาได้มากมายนัก และ 5 ปีที่นั่นพร้อมทั้งคว้าทุกแชมป์ที่ลงแข่งขันในประเทศ ก็เพียงพอแล้วที่ มินามิโนะ จะต้องพิสูจน์ตัวเองในก้าวต่อไปที่ใหญ่และท้าทายกว่า 


Photo : www.sportskeeda.com

ตลอดระยะเวลาที่พรีเมียร์ลีกเริ่มแข่งขันในปี 1992 ไม่เคยมีนักเตะญี่ปุ่นคนใดเลยที่สามารถใช้คำว่า "สร้างปรากฎการณ์" แบบจริงๆ จังๆได้ มีเพียง ชินจิ คากาวะ กับ ชินจิ โอกาซากิ ที่ไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เลสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น ทว่าในแง่ของผลงานส่วนตัวก็ยังถือว่าไม่ใช่ตัวหลักที่ทีมยังขาดไม่ได้ ส่วนนักเตะญี่ปุ่นคนอื่นๆ อย่าง จุนอิจิ อินาโมโตะ หรือ เรียว มิยาอิจิ ก็หนักไปทางจะล้มเหลวและถูกมองว่าเป็นดีลการตลาดด้วยซ้ำ

6 ปีก่อน ชินจิ คากาวะ ผู้เริ่มตำนานหมายเลข 8 ที่ออกจาก เซเรโซ่ โอซาก้า มาสิ้นท่าที่พรีเมียร์ลีกไปแล้ว 1 คน และหนนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็ถึงคราวที่นักเตะที่เก่งจนต้องย้ายออกก่อนจะได้สวมหมายเลข 8 อย่าง มินามิโนะ นักเตะผู้มีอนาคตที่ตื่นเต้นที่สุดของวงการฟุตบอลญี่ปุ่นยุคนี้ จะต้องมาลองของด้วยตัวเองบ้าง ...    

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ I’m Number 8 : การปล่อยตัว "มินามิโนะ" ลุยยุโรปที่เดิมพันอนาคตฟุตบอลญี่ปุ่น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook