มาซาทาดะ อิชิอิ : โค้ชรองแชมป์สโมสรโลกที่ผันตัวไปเป็นพนักงานศูนย์อาหารเพื่อครอบครัว

มาซาทาดะ อิชิอิ : โค้ชรองแชมป์สโมสรโลกที่ผันตัวไปเป็นพนักงานศูนย์อาหารเพื่อครอบครัว

มาซาทาดะ อิชิอิ : โค้ชรองแชมป์สโมสรโลกที่ผันตัวไปเป็นพนักงานศูนย์อาหารเพื่อครอบครัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สมุทรปราการ ซิตี้ ประกาศเปิดตัว มาซาทาดะ อิชิอิ ขึ้นเป็นกุนซือคนใหม่ ทำให้เขากลายเป็นโค้ชชาวญี่ปุ่นคนล่าสุดที่เตรียมมาแสดงฝีไม้ลายมือในไทยลีก

สำหรับอิชิอิ ถือว่าเป็นกุนซือที่มีฝีมือไม่ธรรมดา เพราะมีดีกรีเคยพา คาชิมา อันท์เลอร์ส ผงาดคว้าแชมป์เจลีก และทำผลงานเด่นในฟุตบอลสโมสรโลก ที่ต่อกรกับ เรอัล มาดริด ได้อย่างสมศักดิ์ศรี 

อย่างไรก็ดี ครั้งหนึ่งเฮดโค้ชวัย 52 ปีคนนี้ เคยห่างหายจากวงการฟุตบอล และผันตัวไปทำงานธรรมดาอย่างพนักงานศูนย์อาหารของเมืองมาร่วมปี  

เกิดอะไรขึ้นกับเขาในตอนนั้น ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand

กุนซือกวางเขาเหล็กชาวญี่ปุ่นในรอบ 21 ปี 

หากเอ่ยถึงยอดทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น คาชิมา อันท์เลอร์ส น่าจะเป็นชื่อที่คนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ พวกเขาคือเจ้าของตำแหน่งทีมที่คว้าแชมป์เจลีกได้มากที่สุด 8 สมัย แชมป์เอ็มเพอเรอร์สคัพ 5 สมัย แชมป์เจลีกคัพ 6 สมัย และเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีกอีก 1 สมัย 


Photo : www.football-zone.net

ในขณะเดียวเดียวกัน กวางเขาเหล็ก ยังถือเป็นแหล่งบ่มเพาะนักเตะขึ้นสู่ทีมชาติ ที่หลายคนอยู่ในทัพซามูไรบลูชุดลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็น โคจิ นาคาตะ (1998), อัตสึชิ ยานางิซาวะ (2002, 2006), มิตสึโอะ โองาซาวาระ (2002, 2006) หรือยุคใหม่หน่อยก็เป็น ไดกิ อิวามาสะ และ อัตสึโตะ อุจิดะ (2010)  

นอกจากนี้ ในอดีตพวกเขาเคยเป็นสโมสรของดาวดังระดับโลกอย่าง ซิโก้ นักเตะยอดเยี่ยมอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 1982, จอร์จินโญ นักเตะชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 หรือ เลโอนาร์โด อดีตแข้ง เอซี มิลาน ก็เคยมาคว้าแข้งกับพวกเขา 

อย่างไรก็ดี หลังขึ้นทศวรรษที่ 2010s อันท์เลอร์ส กลับค่อยๆ มีผลงานที่ตกลง หลังจากคว้าแชมป์เจลีกเมื่อปี 2009 พวกเขาก็ไม่เคยคว้าถาดแชมป์ลีกมาเชยชมได้อีกเลย จนทำให้ทีมสั่งปลด ออสวัลโด โอลิเวียรา ที่เคยพาทีมคว้าแชมป์เจลีก 3 ปีติดต่อกันออกจากตำแหน่ง 

พวกเขายังคงใช้บริการโค้ชบราซิลต่อ เมื่อตัดสินใจแต่งตั้ง จอร์จินโญ อดีตลูกหม้อเก่าเข้ามาคุมบังเหียน แต่มันกลับเลวร้ายยิ่งกว่า เมื่ออดีตแข้งแชมป์ฟุตบอลโลก พาทีมตกต่ำขั้นสุด ด้วยการ จบในอันดับ 11 ของตาราง แม้จะคว้าแชมป์ลีกคัพมาได้ แต่ไม่พอที่จะไม่ทำให้เขากระเด็นออกจากตำแหน่ง 

จากนั้น อันท์เลอร์ส ยังคงเชื่อมั่นในสไตล์แซมบ้า ทำให้พวกเขาเรียกตัว โตนินโญ เซเรโซ ที่เคยคุมทีมในช่วงปี 2000-2005 และพาทีมคว้าแชมป์เจลีก 2 สมัย กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง 


Photo : www.espn.com.br

เซเรโซ ทำให้แฟนอันท์เลอร์สใจชื้น เมื่อทีมเริ่มมีผลงานดีขึ้น หลังเขาพาทีมจบในอันดับ 5 ของตารางในปีแรก ก่อนจะคว้าตั๋วผ่านเข้าไปเล่นใน เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก หลังจบในอันดับ 3 ของตารางในฤดูกาล 2014 

อย่างไรก็ดี มันก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น เมื่อกวางเขาเหล็ก ภายใต้การคุมทัพของกุนซือชาวบราซิล กลับมีผลงานลุ่มๆ ดอนๆ ในปี 2015 และจบในอันดับ 8 ในสเตจแรก และยังไม่ฟื้นในสเตจ 2 จนความพ่ายแพ้ต่อ มัตสึโมโต ยามางะ ในนัดที่ 3 ของครึ่งฤดูกาลหลัง ก็ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายต้องขาดลง 

พวกเขาสั่งปลด เซเรโซ ออกจากตำแหน่ง ก่อนจะแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ ขึ้นมาคุมทัพ ที่ทำให้เขากลายเป็นกุนซือชาวญี่ปุ่นคนแรกของสโมสรในรอบ 21 ปี (ยกเว้น ทาคาชิ เซคิซุกะ ที่คุมทีมชั่วคราวในปี 1998 และ 1999) 

และมันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาของยักษ์หลับทีมนี้ 

 

แชมป์เจลีกที่รอคอย 

แม้ว่า อิชิอิ จะมีอายุถึง 48 ปี แล้วตอนรับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ อันท์เลอร์ส แต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมมาก่อน โดยตำแหน่งก่อนหน้านี้ คือ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ จอร์จินโญ และ โทนินโญ เซเรโซ ตั้งแต่ปี 2012  


Photo : www.kickoff.com

อันที่จริง อิชิอิ ถือลูกหม้อของ อันท์เลอร์ส เขาเคยเป็นอดีตนักเตะที่ค้าแข้งอยู่กับทีมในช่วงปี 1991-1997 ตั้งแต่สมัยยังเป็น ซูมิโตโมะ สตีลส์ และเป็นหนึ่งในชุดคว้าแชมป์เจลีกในปี 1996 รวมไปถึง เอ็มเพอเรอร์สคัพ และเจลีกคัพในปีต่อมา 

ส่วนเส้นทางโค้ช หลังเลิกเล่นในปี 1998 เขาก็กลับเข้ามาเป็นหนึ่งในสต๊าฟของอันท์เลอร์สทันทีในปีต่อมา โดยเริ่มจากตำแหน่งโค้ชกายภาพ ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาจนได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีม และขึ้นมาเป็นผู้กุมบังเหียนเต็มตัว 

ด้วยความเป็นคนเก่าคนแก่ที่รู้เบื้องหลังของสโมสรเป็นอย่างดี รวมไปถึงคุ้นเคยกับนักเตะ ทำให้ อิชิอิ เริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลง อันท์เลอร์ส ทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นการสลับเอา มู คานาซากิ ขึ้นไปเล่นหน้าเป้าบ้าง หรือ การให้โอกาส ยูมะ ซูซูกิ กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปีได้ลงสนาม   

หลังจากเริ่มต้นอย่างสวยงามด้วยการเอาชนะ เอฟซี โตเกียว อิชิอิ ก็พาทีมคว้าชัยต่ออีก 6 นัดติดต่อกัน จนขึ้นมาเป็นจ่าฝูงของ สเตจที่ 2 แต่ก็มาสะดุดจนตกมาอยู่อันดับ 2 ก่อนจะจบเลกที่ 2 ด้วยตำแหน่งนั้น และอันดับ 5 ในตารางคะแนนรวม พ่วงด้วยตำแหน่งแชมป์เจลีกคัพอีก 1 รายการ 

ฤดูกาลต่อมา อิชิอิ เดินหน้าปรับทีมอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ มู คานาซากิ ที่ยืมตัวมาในฤดูกาลก่อนมาร่วมทีมอย่างถาวร รวมไปถึง การเปลี่ยนแผนจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-4-2 โดยขยับ คานาซากิ เป็นหน้าเป้า คู่กับ ชูเฮ อาคาซากิ โดยมี ยูมะ ซูซูกิ เป็นซูเปอร์ซับ 

และมันก็กลายเป็นฤดูกาลที่น่าจดจำของเขา เมื่อ อิชิอิ พาทีมเกาะกลุ่มผู้นำมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ก่อนจะปาดหน้า คาวาซากิ ฟรอนทาเล ขึ้นไปคว้าแชมป์สเตจแรกได้สำเร็จ แม้เลก 2 อาจจะทำผลงานตกลงจนจบในอันดับ 11 แต่ยังได้สิทธิ์เข้าไปในรอบชิงแชมป์


Photo : www.jleague.jp

พวกเขาเริ่มต้นรอบชิงแชมป์ด้วยการบุกไปเอาชนะ ฟรอนทาเล 1-0 จากประตูโทนของ คานาซากิ ในรอบรองชนะเลิศ จากนั้นแม้จะพลาดท่าพ่ายคาบ้านต่อ อุราวะ เรดส์ ในนัดชิงชนะเลิศนัดแรก แต่ที่ไซตามะ สเตเดียม พวกเขาก็สวมหัวใจเสือ ยิงแซง 2 ประตูรวดจาก คานาซากิ คนเดิม เอาชนะไปได้ด้วยกฎประตูทีมเยือน ผงาดคว้าแชมป์เจลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีได้สำเร็จ 

แชมป์เจลีกไม่เพียงทำให้พวกเขาประกาศศักดาในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสให้ อิชิอิ ได้โชว์ของในระดับโลกอีกด้วย

 

รองแชมป์สโมสรโลก 

หลังจบศึกเจลีกไม่ถึงสัปดาห์ เหล่านักเตะอันท์เลอร์ส ต้องเตรียมตัวรับศึกใหม่ นั่นคือการแข่งขันสโมสรโลกที่ญี่ปุ่น และแม้จะเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับโลกครั้งแรกของอิชิอิ แต่เขาก็ไม่ได้หวั่นเลยแม้แต่น้อย 


Photo : www.jleague.jp

“เราอยากทำผลงานให้ดีในฐานะตัวแทนของเจลีก และเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ” อิชิอิ กล่าวในงานแถลงข่าวก่อนทัวร์นาเมนต์

“เราอาจจะล้านิดหน่อย แต่ผมรู้สึกได้ว่ากำลังจะมีความน่าตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้น เราได้ปรับสภาพจิตใจ และตั้งเป้าที่จะสู้ในฐานะแชมป์ญี่ปุ่น” 

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก อันท์เลอร์ส เข้ามาเล่นจากโควต้าของเจ้าภาพ ทำให้พวกเขาต้องเริ่มเล่นตั้งแต่รอบเพลย์ออฟ พวกเขาประเดิมสนามด้วยการพบกับ ออคแลนด์ ซิตี้ จากนิวซีแลนด์ และเกือบเสียท่า เมื่อโดนยิงนำไปก่อน แต่มาได้ ชูเฮ อาคาซากิ และ คานาซากิ ยิงแซง 2 ประตูรวด เฉือนเอาชนะ 2-1  

แม้จะเริ่มต้นอย่างขลุกขลัก แต่หลังจากนั้นก็เริ่มฉลุย เมื่อในนัดต่อมาพวกเขาจัดการเอาชนะมาเมโลดี ซันดาวน์สของแอฟริกาใต้ 2-0 ตามมาด้วยการไล่อัด แอตเลติโก นาซิอองนาล ของโคลอมเบีย 3-0 และผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ เหมือนที่ อิชิอิ เคยลั่นวาจาเอาไว้ 

อย่างไรก็ดี คู่ต่อกรของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา เพราะมันคือ เรอัล มาดริด แชมป์ยุโรปที่ขนดาวดังกันมาล้นทีม ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด, คาริม เบนเซมา, ลูกา โมดริช หรือ เซร์คิโอ รามอส 


แม้ เรอัล มาดริด จะชื่อชั้นดีกว่า และได้ประตูออกนำไปก่อนจาก เบนเซมา ในนาทีที่ 9 แต่เกมนี้กลับไม่ง่าย เมื่อ อันท์เลอร์ส สู้กับพวกเขาอย่างอย่างไม่เกรงกลัว เปิดเกมรุกจนได้ประตูตีเสมอจาก กาคุ ชิบาซากิ ในนาทีที่ 44 ก่อนจะแซงนำจากลูกยิงไกลสุดสวยจากชิบาซากิ คนเดิมในครึ่งหลัง 

น่าเสียดายที่หลังจากนั้น อันท์เลอร์ส มาถูกตีเสมอจากลูกจุดโทษของ โรนัลโด ในนาทีที่ 60 ก่อนในช่วงต่อเวลาพิเศษ โรนัลโด จะสวมบทฮีโร ทำแฮตทริค ยิงเพิ่มอีก 2 ประตูช่วยให้ ราชันชุดขาวเอาชนะไปได้ 4-2 

“เราสร้างปัญหาให้เรอัล มาดริด แต่เกมแบบนี้ตัดสินกันด้วยความต่างเพียงเล็กน้อยจากสิ่งที่นักเตะหรือโค้ชทำ” อิชิอิ กล่าวหลังเกมนัดชิงชนะเลิศ  

“ตั้งแต่ต้นเกม ผู้เล่นของเราแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและเล่นอย่างเต็มความสามารถของพวกเขา” 


Photo : therealchamps.com

หลังรายการนั้น ทั้งอันท์เลอร์ส และอิชิอิ ต่างได้รับเสียงชื่นชม เพราะนี่คือการแข่งขันฟุตบอลสโมสรโลกครั้งแรกของสโมสร ในขณะที่ อิชิอิ ก็เป็นเพียงการคุมทีมปีที่ 2 ของเขาเท่านั้น แต่กลับทำได้ขนาดนี้ 

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นชีวิตของอิชิอิ กลับต้องพลิกผัน เมื่อในฤดูกาลต่อมา เขาพาทีมแพ้ไปถึง 5 นัดจาก 12 เกมแรก ก่อนที่การตกรอบ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย จะทำให้เขากระเด็นจากตำแหน่ง 

แม้จากนั้น อิชิอิ จะมีโอกาสได้คุมทีมอีกครั้ง หลังถูกแต่งตั้งเป็นกุนซือของ โอมิยะ อาร์ดิจา ในช่วยท้ายฤดูกาล 2017 และตามไปคุมต่อหลังทีมตกชั้นลงไปเล่นในเจ 2 แต่การไม่สามารถพาทีมกลับมาเล่นในเจ 1 ได้อีกครั้ง ทำให้เขาไม่ได้ไปต่อ

และชื่อของเขาก็เริ่มเลือนหายไปจากวงการฟุตบอลหลังจากนั้น 

 

พนักงานศูนย์อาหาร 

แม้ชีวิตของอิชิอิ จะผูกพันกับฟุตบอลมายาวนานเกือบ 30 ปี แต่หลังจากพ้นตำแหน่งที่ อาร์ดิจา เขาก็ตัดสินใจหันเหกลับมาทำงานธรรมดา ที่อาจจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำในวงการฟุตบอล นั่นก็คือพนักงานที่ศูนย์อาหาร


Photo : blogola.jp

จุดเริ่มต้นมาจากการที่เขากลับมาอยู่ที่คาชิมา ที่ครอบครัวอาศัยอยู่ และได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในศูนย์อาหารของเมืองคาชิมา ที่เป็นหน่วยที่ทำอาหารเพื่อแจกจ่ายให้กับโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 

“ผมมีบ้านอยู่ที่คาชิมา ดังนั้นจึงอาศัยอยู่ที่คาชิมา ผมสอนฟุตบอลให้เด็กๆ มีหลายโรงเรียนที่เรียกตัวผมไป แต่ปกติแล้วผมทำงานอยู่ที่ศูนย์อาหารโรงเรียนประจำเมืองคาชิมา” อิชิอิกล่าว

“ในวันปกติตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เราจะทำอาหารและส่งไปให้เด็กๆ ในเมืองคาชิมา เราเป็นศูนย์อาหารที่ส่งอาหารไปให้แต่ละโรงเรียน” 

อันที่จริงดีกรีของอิชิอิ ก็ไม่ธรรมดา เขาเป็นถึงอดีตกุนซือแชมป์เจลีก แถมยังเคยพาทีมไปถึงรองแชมป์สโมสรโลก แต่เหตุใดจึงเลือกที่จะทิ้งงานในวงการเพื่อมารับงานธรรมดาเช่นนี้ ซึ่งเขาก็มีคำตอบง่ายๆ ก็คือ “ครอบครัว” 

ด้วยความที่งานในวงการฟุตบอลเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก เพราะนอกจากคุมซ้อมแล้ว ยังต้องเผื่อเวลาไว้วางแผนการเล่นในแต่ละนัด บวกกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เชื่อว่าการทุ่มเทเพื่องานเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ อิชิอิ ใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ไปกับมันจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว 

นั่นจึงทำให้หลังจากไม่ได้คุมทีม อาร์ดิจา ต่อ เขาจึงขอพักงานคุมทีมชั่วคราว เพื่อมารับงาน ที่อาจจะไม่ได้มีเงินเดือนเยอะเท่ากับผู้จัดการทีม แต่ได้เวลาคืนกลับมา ซึ่งทำให้เขาได้มีโอกาสทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มที่  

“ผมเป็นโค้ชและผู้จัดการทีมมาตลอด และแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัวผมเลย ตอนนี้ลูกสาวผมอยู่ ป.6 แล้ว การที่ผมมาทำตรงนี้เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับเขาบ้าง” อิชิอิกล่าวต่อ 

“ด้วยเหตุนี้ พอคิดดูหลายๆ อย่างการทำงานที่ศูนย์อาหาร จะทำให้เวลาที่โรงเรียน และเวลาหยุดตรงกัน นอกจากนี้ก็ยังมีวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ และวันหยุดฤดูร้อนอีกด้วย” 


Photo : @ak_non

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ อิชิอิ ทำงานในวงการฟุตบอลมาโดยตลอด ทำให้เขาต้องมานับหนึ่งใหม่ตั้งแต่ต้น แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาเองก็พร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

“ผมต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ เนื่องจากที่ทำงานของผมแคร์เกี่ยวกับเรื่องสุขอนามัยมาก ผมจึงห้ามลืมล้างมือ หรือลืมใส่ผ้ากันเปื้อนเด็ดขาด” 

“นอกจากนี้ ที่ทำงานของผม มีผู้หญิงอยู่เยอะ ผมจึงได้เรียนรู้ทั้งวิธีเข้ากับผู้หญิง และการปฏิบัติตัวในฐานะผู้นำ ผมได้เรียนรู้อะไรเหล่านี้” 

“เพราะว่าเราแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ผมก็เลยได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม หน้าที่ของตำแหน่งนี้ก็คือ คอยสรุปจากผู้นำ ผมต้องเรียนรู้มากทีเดียว”  

สิ่งนี้แสดงให้เห็นความรักที่มีต่อครอบครัวของอิชิอิ ที่ทำให้เขายอมลดอีโก้ วางเกียรติยศไว้ข้างหลัง ทิ้งหัวโขนที่เคยมี มาเรียนรู้งานใหม่ที่ตัวเองไม่ถนัด เพื่อได้มีโอกาสได้ใช้เวลากับลูกและภรรยาได้อย่างเต็มที่ 

อย่างไรก็ดี อิชิอิ ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธงานในวงการฟุตบอล ดังที่เห็นได้จากล่าสุด ที่เขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลมารับงานที่ประเทศไทย ในฐานะกุนซือคนใหม่ของ สมุทรปราการ ซิตี้ 


แต่เพียงแค่ช่วงเวลานั้น เขาขอทุ่มเทให้กับคนข้างๆ ก่อน ซึ่งมันคือความคิดที่น่านับถือในฐานะหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่ง ที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว รวมไปถึงยอดลดอัตตาของตัวเอง เพื่อสิ่งที่เขารักมากที่สุด 

จริงอยู่ความสำคัญในชีวิตของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเป็นเงินทอง บางคนอาจจะเป็นความสำเร็จ บางคนอาจจะเป็นหน้าที่การงาน 

แต่สำหรับอิชิอิ ชัดเจนว่ามันคือครอบครัว ที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ ซึ่งเขาก็พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook