วิกฤติ หงส์แดง

วิกฤติ หงส์แดง

วิกฤติ หงส์แดง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่วงนี้แฟนบอลของทีมตัวแทนสัตว์ปีก อาจต้องพยายามเก็บตัวเงียบเชียบกันหน่อยนะครับ

หากย้อนเวลากลับไปเช็คค่านิยมหนังวัยรุ่น ไฮสคูล ของ อเมริกา เมื่อสัก 6-7 ปีก่อน พวกเราหลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งหลุดปากออกมาบ่อยมากในอารมณ์ประมาณว่า.....สังคมมัธยมมันโหดร้าย, การเมืองเยอะ, จะป๊อปปูล่าได้ จิตใจต้องเหี้ยมอะไรเทือกนี้

ดังนั้นในสังคมโรงเรียนมัธยม เราจึงได้เห็นผู้นำวัยรุ่นราชาฝั่งชาย และนางพญาฝั่งหญิง ล้วนเป็นกลุ่มบุคคลจำพวกเนื้อแท้กากๆ แต่วางตัวใช้งาน look ของตัวเองภายนอกได้ดี เปรียบได้กับกลุ่มนักล่าค่าหัวกระหายเงิน หรือกลุ่มนักข่าวขยะบางท่าน ที่พร้อมสังเวยทุกๆ อย่างเท่าที่ตัวเองจะทำได้ เพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ
 
ในขั้วตรงกันข้าม พวกจิตใจดีมีเมตตา หรือพวกแนวความคิดแปลกแยก จะซ่อนอยู่ตามซอกหลืบต่างๆ ของสถาบัน.....อดทนรอวันปลดปล่อยตัวตนอย่างใจเย็นในอีกสัก 10-20 ปีหลังจากนี้
 
หากผู้กำกับ "มะกัน" ในช่วงแถวๆ ปลายยุค 90 ต่างวิเคราะห์เหมือนๆ กันว่าชีวิตเด็ก ไฮสคูล นั้นโหดร้ายเทียบได้กับสังคมการเมือง.....เราคงต้องบอกว่าสังคมของโลกลูกหนังนั้นก็มีความโหดร้ายกระชากอารมณ์ไม่ต่างกัน

ร็อดเจอร์ส กำลังอยู่ในภาวะเครียดจัดหลังหงส์แดงฟอร์มตกเอาดื้อๆ

เพราะถ้าอัพเดทถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คงรู้ซึ้งดีถึงความรู้สึกที่ว่านี้.....หากย้อนกลับไปสัก 5-6 เดือนก่อน เขายังมีสถานะประหนึ่งเทพบุตรที่ถูกรุมด้วยเสียงชื่นชมแซ่ซ้องจนหูอื้อไปหมด ไม่ต่างอะไรกับควอเตอร์แบ็คหล่อๆ ในหนังวัยรุ่นอเมริกันสักเรื่องหนึ่ง ที่จะเลือกควงกับสาวงามหน้าไหนก็ได้
 
แตกต่างจากวันนี้ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถของ "บี-ร็อด" อีกครั้ง ภายหลังจากที่เห็น ลิเวอร์พูล แสดงผลงานออกมาได้แสนจะระส่ำทั้งเกมรุกและเกมรับ เช่นเดียวกับเกมการแข่งขันนัดล่าสุด ที่บุกไปโดน เอฟซี บาเซิ่ล เชือดนิ่มๆ 1-0 จากลูกตั้งเตะที่เสียหายครั้งแล้วครั้งเล่า

ลิเวอร์พูลถูกตั้งคำถามว่า ที่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้มาจากฝีมือ ร็อดเจอร์ส หรือ ซัวเรซ

จุดเด่นของเกมรุกที่ทะลวงไปกระจุยถึง 101 ประตูเมื่อซีซั่นที่แล้ว อันตรธานหายไปหมดเกลี้ยงพร้อมๆ กับการโบกมือลาของ หลุยส์ ซัวเรซ และอาการบาดเจ็บของ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ในขณะที่ตัวตายตัวแทนอย่าง มาริโอ บาโลเตลลี่ ก็เคลื่อนที่ได้เซื่องซึมเสียจนหลายๆ ท่านอดสงสัยไม่ได้ว่าสไตล์ของ "น้องโอ้" จะสามารถปรุงแต่งให้เข้ากับระบบของ "หงส์แดง" ได้จริงๆ เหรอ
 
ถ้าเป็นในการ์ตูนชุด Slumdunk เราคงได้เห็น อาคางิ (สตีเว่น เจอร์ราร์ด) บรรจงใช้แขนกอริล่าขนาดยักษ์เขกหัว ซากุรางิ (บาโลเตลลี่) ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง พร้อมกระซิบเคล็ดลับแบบแก้ไขปัญหาฉุกเฉินในการเล่นเกมป้องกันว่าให้แกล้งปั้นหน้าโหดๆ ใส่คู่แข่งเพื่อสร้างความหวาดกลัว !!!

เกรียนโอ้ถูกสวดอย่างหนักจากการทิ้งตำแหน่งแล้วมาเอาบอลเองทำให้เกมรุกมีจุดอ่อน

ทว่าบังเอิญในชีวิตจริง....คงไม่มีใครแนะเคล็ดลับโง่ๆ "โอตาคุ" แบบนี้ให้กับ "เอล เกรียน" และต่อให้เราอยากจะ มโน สมมุติว่ามี! มันก็คงไม่มีใครกลัวหน้าตาของ บาโลเตลลี่ เช่นกัน มิหนำซ้ำ เกรงว่าเหตุการณ์มันจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามเสียอีก เหมือนตอนที่ มิตซึอิ และ เรียวตะ หัวเราะร่วนเมื่อเห็นผมทรงหัวโล้นของ ซากุรางิ เป็นครั้งแรก
 
ขยับไปดูแผงแบ็กโฟร์จากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เรามองเห็น มาร์ติน สเคอร์เทล คือผู้หลงเหลือเพียงแค่คนเดียว ส่วน จอห์น ฟลานาแกน และ เกล็น จอห์นสัน นั้นยังรักษาตัวเองอยู่ในโรงหมอ ในขณะที่ท่านรองอย่าง ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ ก็ถูกขายทิ้งออกไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

มามาดู ซาโก้ และ เดยัน ลอฟเรน ยังไม่ดีพอที่ลิเวอร์พูลจะไว้ใจได้

เราจึงได้เห็น 3 แข้งหน้าใหม่ในแนวรับของ "เร้ด แมชชีน" ที่ยังจัดกระบวนกันได้ไม่ลงตัว เริ่มตั้งแต่ มามาดู ซาโก้ และ เดยัน ลอฟเรน ที่ผลัดกันรั่วเกมละคนละ 1-2 ครั้ง ส่วน อัลแบร์โต้ โมเรโน่ กับ ฆาเบียร์ มานกีโย่ ก็เป็นฟูลแบ็คพันธุ์เติมเกมรุกบุกแหลก ไร้ซึ่งสมดุลความพอดีอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ มานกีโย่ ที่โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่ายังไม่พร้อมสำหรับการยืนตัวจริง ณ เวลานี้
 
สรุปแล้วในภาพรวมเมื่อผู้คนถามว่า ลิเวอร์พูล ยังขาดอะไร ? ผมจึงตอบสั้นๆ ง่ายๆ ไปว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้ยังขาดทุกอย่าง ทีมเวิร์คไม่ดี , หน้าไม่ยิง และหลังพร้อมเสีย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันฤดูกาล 2014-2015
 
เหตุการณ์มันไม่เหมือนกับเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน....ตอนนั้น "หงส์แดง" ยังเล่นไม่ดี และจบอันดับ 7 ก็จริง แต่ถึงกระนั้น ร็อดเจอร์ส ก็โชว์กึ๋นให้เราเห็นถึงฟุตบอลระบบว่าทีมที่เขาสร้างขึ้นมีแววจะพัฒนาต่อไปได้อีกเยอะ
 
เรายังไม่เห็นแววที่ว่านี้ของขุมกำลัง ลิเวอร์พูล ในชุดปัจจุบัน!  
 
ถ้าเราจะวิเคราะห์ลงไปกันสักหน่อย เราก็จะเห็นได้ว่าหายนะย่อมๆ ที่เกิดกับ ลิเวอร์พูล ในชุดนี้ ไม่ได้มีต้นตอจากเรื่องแค่การเสีย ซัวเรซ เพราะลำพังเพียง ซัวเรซ คนเดียวก็ไม่อาจทำให้ระบบทีมเวิร์คของ "หงส์แดง" ทั้ง 11 คนพังครืนลงได้แน่ เช่นเดียวกับแนวรับที่เมื่อก่อนเคยคิดว่าเปื่อยยุ่ยแล้ว....มาวันนี้เหมือนมันก็ยิ่งเละเทะขึ้นไปอีกขั้น
 
บทพิสูจน์ความกดดันแบบเป็นจริงเป็นจังครั้งแรกของ ร็อดเจอร์ส.....เราจะได้รู้กันว่ากุนซือหนุ่มรายนี้มีความพร้อมสำหรับการขึ้นชั้นเป็นผู้จัดการทีมชั้นนำของแดน "ผู้ดี" มากน้อยขนาดไหน หรือเป็นเพียงแสงพลุที่วาบเข้าตาเราในเสี้ยวนาที....อดใจเฝ้ารอคำตอบกันอีกไม่นานครับ

ยอดขวัญ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook