"เชโรม บัวเต็ง" ควอเตอร์แบ็คแห่งวงการฟุตบอล
สำหรับฟุตบอลแบบดั้งเดิมแล้วผู้เล่นตำแหน่งกองหลังมีหน้าที่หลักค่อนข้างชัดเจน นั่นก็คือการเล่นเกมรับ ลองนึกภาพกองหลังระดับตำนานอย่างบ็อบบี้ มัวร์, เปาโล มัลดินี, การ์เลส ปูโยล จะเห็นว่าทุกคนต่างก็มีบทบาทที่คล้ายๆกัน
แต่ก็มีบ้างอย่างที่เราเคยได้เห็นผู้เล่นตัวรับที่เข้ามามีบทบาทในเกมรุกและทำผลงานได้โดดเด่น เช่น ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ ผู้ริเริ่มตำแหน่งสวีปเปอร์ตัวรุก หรือ ฟรองค์ เดอ บัวร์ เซ็นเตอร์แบ็คที่ยิงเท้าซ้ายได้แม่นยำกว่าผู้เล่นตัวรุกคนอื่นๆในทีมเสียอีก
เชโรม บัวเต็ง ก็เป็นอีกหนึ่งกองหลังที่มีบทบาททั้งในเกมรับและรุก นอกจากจะต้องป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ทำประตูแล้ว ยังรับหน้าที่เปิดเกมรุกจากแดนตนเองได้อีกด้วย หน้าที่แบบนี้จะเรียกว่าเป็น "ควอเตอร์แบ็ค" แห่งวงการฟุตบอลก็คงไม่ผิด
ตำแหน่งควอเตอร์แบ็คของกีฬาอเมริกันฟุตบอลนั้น มีหน้าที่มองภาพรวมของสนาม รับลูกบอลมาพร้อมกับความกดดันจากฝ่ายตรงข้ามและต้องใจเย็น ประมวลผลในหัวอย่างรวดเร็วว่าตนเองมีทางเลือกใดบ้าง จากนั้นจึงตัดสินใจเล่นสั้นหรือยาวเพื่อกินแดนฝ่ายตรงข้ามขึ้นไป ที่สำคัญที่สุดก็คือ ควอเตอร์แบ็คจำเป็นต้องรู้ถึงความสามารถของผู้เล่นเกมรุกในทีมตนเองทุกคน
ทั้งหมดที่กล่าวมานั่นแหละคือบทบาทของบัวเต็งในสีเสื้อทีมบาเยิร์น มิวนิค เขาคือหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดที่สามารถขึ้นเกมรุกจากแดนตัวเองได้ ด้วยความสามารถในการเปิดบอลยาวอันแม่นยำ บัวเต็งจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญของทีมยิ่งเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งที่มีแผงมิดฟิลด์เหนียวแน่น
โทมัส มึลเลอร์ กล่าวว่า "มันน่าเหลือเชื่อที่เขาสามารถเปิดเกมรุกได้แบบนั้นในฐานะเซ็นเตอร์แบ็ค เขาเหมือนควอเตอร์แบ็คเลย และสามารถพัฒนาฝีเท้าตนเองจนเป็นผู้เล่นระดับเวิลด์คลาส"
เปป กวาร์ดิโอลา กล่าวถึงบัวเต็งว่า "ถ้าพูดถึงการเปิดเกม เชโรมคือหนึ่งในผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุด"
สถิติไม่เคยโกหกใคร ในฤดูกาล 2018/19 แม้บัวเต็งต้องตกเป็นตัวสำรองของทีม แต่เขาก็ยังมีสถิติเปิดบอลยาวสูงสุดในลีกที่เฉลี่ย 6 ครั้งต่อนัด อันดับที่สองเป็นมัทเธียส กินเทอร์ จากโบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัค (4 ครั้งต่อนัด) ตามด้วยนิคลาส ซือเลอ และ มัทส์ ฮุมเมิลส์ อดีตเพื่อนร่วมทีมเสือใต้ (3 ครั้งต่อนัด)
ถามว่าทำไมบัวเต็งถึงพัฒนาฝีเท้ามาจนถึงจุดนี้ได้? จุดใดที่ทำให้เขามีความสามารถโดดเด่นกว่ากองหลังทั่วไป คำตอบก็คือ บัวเต็งมีทั้งความกระหายอยากจะเป็นกองหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในโลก ผสานกับพรสวรรค์ที่ธรรมชาติให้มา
บัวเต็งมีพี่น้องอีกสองคน ซึ่งทุกคนต่างก็เป็นนักฟุตบอล จอร์จ บัวเต็ง พี่ใหญ่เริ่มฉายแววในทีมเยาวชนของแฮร์ธ่า เบอร์ลิน แต่ก็ไปไม่ถึงจุดที่เล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ ส่วน เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง สามารถแจ้งเกิดได้กับทีมชุดใหญ่ของแฮร์ธ่า เบอร์ลิน และเคยค้าแข้งกับทีมดังๆมากมาย อย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์, เอซี มิลาน, ชาลเค่อ และ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต
แน่นอนว่าเชโรม บัวเต็ง คือนักเตะที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในหมู่สามพี่น้อง เขาเริ่มค้าแข้งกับแฮร์ธ่า ก่อนขึ้นเหนือไปอยู่ฮัมบวร์ก จากนั้นจึงย้ายมาซบทีมบาเยิร์นในปี 2011 เขาเริ่มเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค แต่มาติดทีมชาติเยอรมนีในตำแหน่งแบ็คขวา ประสบการณ์ในการเล่นหลายๆตำแหน่งทำให้เขาเก่งขึ้น แถมบัวเต็งยังมีสกิลดูดความสามารถของเพื่อนร่วมทีมมาปรับใช้กับตัวเองได้ดีมากอีกด้วย บัวเต็งเคยบอกว่าเขาเคยลองเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าเช่นกัน และนั่นทำให้เขารู้ว่ากองหน้าทีมคู่แข่งคิดจะทำอะไร
นอกจากไหวพริบอันยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้บัวเต็งมาได้ไกลขนาดนี้ก็คือความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาฝีเท้าของตนเอง เขาเล่าว่าพี่น้องของเขาสามารถเล่นบอลด้วยเท้าซ้ายได้ด้วย แต่เขากลับทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกใช้เท้าซ้ายให้สำเร็จ ซึ่งความพยายามก็สัมฤทธิ์ผลในที่สุด บัวเต็งกลายเป็นนักเตะที่เปิดบอลได้ทั้งระยะสั้นและยาว ไม่ว่าจะจากกราบซ้ายและขวา
สิ่งสำคัญในการเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมก็คือทัศนคติที่ดีในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ บัวเต็งคืออีกหนึ่งตัวอย่างที่นักฟุตบอลรุ่นใหม่ควรเดินตาม เขาคืออีกหนึ่งนักเตะที่ฉีกกฎกองหลังแบบเดิม แทนที่จะป้องกันอย่างเดียว กองหลังสมัยใหม่ต้องเรียนรู้ที่จะสนับสนุนเกมรุกของทีม บัวเต็งอาจไม่ใช่ควอเตอร์แบ็คคนแรกของวงการฟุตบอล แต่เขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการลูกหนังยุคนี้