[OPINION] ช่องว่าง 33 คะแนนบนตาราง พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด
หลังจบแข่งขันหลังเกม พรีเมียร์ลีก ศึกแดงเดือดที่ ลิเวอร์พูล จัดการเปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ด้วยสกอร์ 2-0 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และในเกมล่าสุดที่ลูกทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชา เพิ่งโดน เบิร์นลีย์ บุกมากำชัยเป็นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปีนั้น กลายเป็นช่วงเวลาที่ ‘ดิ่ง’ ที่สุดของแฟนบอล ปีศาจแดง
ในขณะที่ หงส์แดง ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ คนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำนายเอาไว้ว่าถ้าไอ้หมอนี่ไปทำงานในถิ่น แอนฟิลด์ ก็เตรียมตัวคลุมปี๊ปกันได้เลย ก็กำลังเดินหน้าพร้อมทำลายสถิติตอะไรมากมายที่ขวางทางอยู่ให้ย่อยยับชนิดที่อาจจะทำให้ อาร์เซนอล ชุดไร้พ่ายและ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดร้อยแต้มต้องค้อนขวับ
ต้องยอมรับกันว่า เร้ดแมชีน ในช่วง 4-5 ปีหลังจากที่อดีตกุนซือ ดอร์ทมุนด์ เข้ามารับหน้าที่หัวเรือใหญ่ พวกเขาเหมือนค่อย ๆ คลานออกจากอุโมงค์ที่ไร้แสงไฟเพื่อมาพบกับความสว่างจ้าที่กำลังรออยู่
ทิศทางของ ลิเวอร์พูล นั้นชัดเจนมาตั้งแต่ต้น คล็อปป์ รู้ตัวว่าจะต้องทำอะไร และมีแผนในใจอย่างไร สิ่งที่ออกมาคือสิ่งที่เขาคิดไว้ตัังแต่วันแรกที่รับงานที่ แอนฟิลด์ ไม่ว่าจะเป็นแผนและระบบการเล่น แท็คติก ซึ่งนำไปสู่การนำนักเตะที่ต้องการเข้าสู่ทีม และเดินตามแผนงานที่วางไว้จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายอย่างคาดไม่ถึงเมื่อซีซันที่แล้ว นั่นคือแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ชูถ้วย พรีเมียร์ลีก แต่ก็ถือว่าเดินมาได้เกินครึ่งทางที่วางไว้เป็นที่เรียบร้อย รอเพียงแค่รถผ้าป่าจะไม่คว่ำก่อนเข้าวัดแค่นั้นเอง
โดยทั้งหมดนี้มาจากการบรรดาผู้บริหารที่มองว่า นายใหญ่ชาวเยอรมันคือคนที่พวกเขาต้องการให้พาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่
ต่างจากอีกฟากฝั่งอดีตแชมป์ พรีเมียร์ลีก 13 สมัยและเจ้าของสถิติแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัยที่ ณ เวลานี้กำลังโดนแฟนบอลตั้งคำถามว่า ตกลงสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันใช่หรือเปล่าและอาจจะหันไปถามกันเองว่าเราจะไปทางไหนกันดี
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล กำลังเดินหน้าสร้างฟุตบอลที่ดุดัน น่าเกรงขาม เกมรับเหนียว เกมรุกแน่น ตลอดสมัยของ คล็อปป์ แต่ ยูไนเต็ด กลับดูเหมือนกำลังเต้นลีลาศในวิชาพละศึกษาตอน ม.ปลาย ที่อาจารย์มักเปิดเพลงคลอพร้อมออกลีลาเดินหน้า 2 ก้าวถอยหลัง 3 ก้าว พร้อมหมุนตัว 2 รอบ แล้วกลับมาอยู่ที่เดิม
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างขนาด 33 คะแนนระหว่างทั้งสองทีมได้ขนาดนี้
คริส ซัตตัน อดีตหัวหอก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ชุดแชมป์ พรีเมียร์ลีก 94-95 ออกมาพูดถึงความเหลวเป๋วของ เร้ดเดวิลส์ หลังจบศึก เร้ดวอร์ โดยพุ่งเป้าไปที่ โอเล กุนนาร์ โซลชา ว่า
"ยูไนเต็ด เป็นทีมที่จมอยู่กับอดีต ในขณะที่ ลิเวอร์พูล กำลังอยู่กับปัจจุบันและอนาคต พวกเขากำลังเอาตัวรอดภายใต้การคุมทีมของ โซลชา พวกเขากลายเป็นทีมธรรมดาและไม่มีทางจะเข้าใกล้ ลิเวอร์พูล ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้"
ถามว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ ซัตตัน พูดหรือไม่ ก็ตอบแค่ว่า โซลชา เป็นเพียงผลผลิตหนึ่งของความล้มเหลวในด้านการบริหารของสโมสรที่ขึ้นชื่อว่ามีมูลค่าสูงสุด 1-3 ของโลกฟุตบอล
ฟันธงตรงประเด็นกันไปเลยว่าปัญหามันคือ วิสัยทัศน์ของผู้บริหารสโมสร นั่นแหล่ะ
นับตั้งแต่ที่ป๋าเฟอร์กี้ พร้อม เดวิด กิลล์ ผู้เปรียบเสมือนทั้งซีอีโอและ ผอ.ฟุตบอล พากันล้างมือในอ่างทองคำ และมีการเซ้งกิจการต่อโดย เอ๊ด วู้ดเวิร์ด ผลงานของพวกเขาก็มีแต่ถดถอยลงอย่างน่าใจหาย
อาจจะหลงทางกับ เดวิด มอยส์ อยู่ 4-5 เดือน แต่หลังจากนั้นก็จัดการดึงโคตรกุนซืออย่างอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล หรือ โชเซ มูรินโญ มาทำทีมได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ววิสัยทัศน์และนโยบายใน ตลาดซื้อขายนักเตะ มันไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นสาเหตุให้พวกเขานั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน หลังเกมพ่าย เบิร์นลีย์ ชนิดคาบ้าน ริโอ เฟอร์ดินานด์ อีกหนึ่งตำนานของทีม ปีศาจแดง ถึงกับระบุชื่อผู้เล่นที่จัดอยู่ในกลุ่ม ‘อิหยังวะ’ หรือกลุ่มนักเตะที่ไร้ประโยชน์ที่เข้ามาสู่ทีมหลังหมดยุครุ่งเรืองของป๋า โดย 7 ปีที่ผ่านมามี 6 รายชื่อไล่กันไปตั้งแต่ มาร์กอส โรโฮ, ราดาเมล ฟัลเกา, มารูยาน เฟลไลนี่, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, มัตเตโอ ดาร์เมียน และ เมมฟิส เดปาย ที่ยอดกองหลังทีมชาติอังกฤษเห็นว่าสิ้นเปลืองอย่างที่สุด
พร้อมกับจวกยับทีมชุดปัจจุบันว่าเงินทุนกว่า 600 ล้านปอนด์ที่ลงทุนไป เขามองไม่เห็นเลยว่ามันออกดอกออกผลอะไรมาบ้าง
ไม่รู้ว่า 600 ล้านปอนด์ที่พี่ ริโอ เค้านับไว้นั้นได้รวมบรรดาแข้งอื่น ๆ อย่าง เนมันยา มาติช, อองโตนี มาร์กซิยาล, โรเมลู ลูกากู หรือ อเล็กซิส ซานเชซ ไว้ด้วยหรือเปล่า ไหนจะยังมีขาใหญ่อย่าง ปอล ป็อกบา ที่กลับมาสู่อ้อมอกด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกถึง 89 ล้านปอนด์ แต่จนถึงวันนี้มีแต่ข่าวย้ายทีมดังอยู่ทุกชั่วโมง ซึ่งนักเตะเหล่านี้กว่าครึ่งประสบความล้มเหลวขนิดสวนทางกับชื่อชั้น
สอดคล้องกับความเห็นก่อนหน้านั้นของ แกรี เนวิลล์ ที่อัดใส่ทีมเก่าของตัวเองอย่างไม่ยั้งเช่นกันในเกมแดงเดือด หลังเห็นความมะร๊องก๊องแก๊งของรุ่นน้องที่โดน ลิวเอร์พูล อัดไป 2-0 คาตาว่า
"ผมไม่อยากเชื่อว่านี่คือการลงทุนซื้อนักเตะใหม่ในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมันกลายเป็นผู้เล่นในแบบที่เราเห็นในสนาม ผมเห็นสถิติเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และนี่เหรือคือนักเตะที่เรามี มันช่างน่าอายมาก ๆ"
"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของทีมจึงยังไว้ใจทีมงานบริหารชุดนี้ โดยให้พวกเขาสร้างทีมเพื่อลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก หลังจากที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาทีมไป"
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนจากการทำงานหลังบ้านของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันแสดงออกมาให้เราเห็นในฤดูกาลนี้ว่าจนถึงขณะนี้พวกเขาเป็นทีมที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ
ทั้งหมดมาจาก ความไร้วิสัยทัศน์ ล้วน ๆ
ปัญหาต่อจากนี้คือ พวกเขาจะทำอย่างไรกับอีก 14 เกมที่เหลือและเส้นทางในฟุตบอลถ้วยที่ยังคงมีลุ้นอยู่บ้าง
แต่ที่แน่ ๆ คือเมื่อไม่กี่วันก่อนบอร์ดทีม ปีศาจแดง เพิ่งจะออกมาการันตีเก้าอี้ร้อน ๆ ตัวนี้ของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ว่า ยังไงก็ไม่ไล่ออกอยู่ดี
ดังนั้นในอีก 4 เดือนต่อจากนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของ โซลชา ในการพิสูจน์คำพูดจของตัวเองที่ว่า ‘เรากำลังมาถูกทางแล้ว’ นั้นมันจริงเท็จขนาดไหน รวมทั้งผลที่ออกมามันจะเป็นการพิสูจน์วิสัยทัศน์ของผู้บริหารว่า สิ่งที่แฟนบอลและสื่อพากันก่นด่าทุกเช้าเย็นนั้น พวกคุณกำลังคิดผิด
แต่หากทุกอย่างล้มเหลว และต้องกลับไปนับหนึ่งในการหากุนซือกันใหม่ มันอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ปีกว่าที่พวกเขาจะหลับสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
ระหว่างนั้นก็อาจจะต้องนั่งมอง หงส์แดง คู่ปรับตลอดกาลชูถ้วยกันจนเมื่อยมือกันไปข้างเลยทีเดียว