รักหมดใจของ "เจมส์ มิลเนอร์" สู่การปฏิเสธ "แมนฯ ยูไนเต็ด"

รักหมดใจของ "เจมส์ มิลเนอร์" สู่การปฏิเสธ "แมนฯ ยูไนเต็ด"

รักหมดใจของ "เจมส์ มิลเนอร์" สู่การปฏิเสธ "แมนฯ ยูไนเต็ด"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับนักดูบอลยุคใหม่ ทุกคนคงรู้จัก “เจมส์ มิลเนอร์” ผู้เล่นจอมสารพัดประโยชน์ในฐานะ “ท่านรองกัปตัน” ของสโมสร “ลิเวอร์พูล” หรือถ้าย้อนกลับไปอีกหน่อยก็ในฐานะของหนึ่งในผู้เล่นชุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของทีม “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” และถ้าเก่าลงไปอีกก็เป็นในฐานะของผู้เล่นคนสำคัญแห่งสโมสร “แอสตัน วิลล่า” และ “นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด”

อย่างไรก็ตามคงมีไม่มากนักที่จะทราบว่าดาวเตะวัย 34 กะรัตคนนี้คือลูกหม้อขนานแท้ของสโมสร “ลีดส์ ยูไนเต็ด” โดยค้าแข้งให้กับสโมสรแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยเยาวชน จนกระทั่งได้ขึ้นสู่ชุดใหญ่ ก่อนจะโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงตลอด 2 ฤดูกาล จนถูก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด คว้าตัวไปร่วมทัพ 

ถึงจะค้าแข้งที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นเวลาไม่นาน แต่สำหรับตัวของ มิลเนอร์ ความรักที่มีต่อสโมสรแห่งแรกในชีวิตของเขานั้นยิ่งใหญ่ และไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยิ่งใหญ่เสียจนครั้งหนึ่งเขาเคยปฏิเสธโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ อย่างการเข้าร่วมสโมสร “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”

เรื่องราวในตอนนั้นเป็นอย่างไร? และความรักของผู้ชายคนนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน? ติดตามได้ที่ Main Stand

รักแรกในสายเลือด

จุดเริ่มต้นความรักระหว่าง เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสร ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนกว่าการที่เขาเกิดและเติบโตที่นี่ เป็นเด็กเมือง ลีดส์ ในสายเลือด นอกจากนั้นครอบครัวของเขาก็เป็นแฟนบอลลีดส์แทบทั้งหมด ถึงขั้นที่ว่าเป็นขาประจำซื้อตั๋วปีทุกฤดูกาล


Photo : www.dailymail.co.uk

ดังนั้น มิลเนอร์ จึงคลุกคลีกับสโมสรแห่งนี้มาตั้งแต่จำความได้ โดยครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ดู ลีดส์ ยูไนเต็ด ลงสนามทำการแข่งขันนั้นเกิดขึ้นในปี 1993 ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 7 ปี

“ผมตกหลุมรักโดยทันที” มิลเนอร์เผยความรู้สึกกับ The Gurdian

หลังจากนั้น มิลเนอร์ ก็เริ่มติดสอยห้อยตามครอบครัวเข้าไปเป็นขาประจำในสนาม เอลแลนด์ โร้ด ด้วยอีกคน และเมื่ออายุครบ 10 ปี ความสัมพันธ์ของ มิลเนอร์ กับสโมสรแห่งนี้ก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น จากแฟนบอลธรรมดา เขาก็ได้เข้าสู่อคาเดมีสโมสร กลายเป็นนักเตะเยาวชนฝึกหัด

“ผมเริ่มต้นฝึกซ้อมฟุตบอลที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด สัปดาห์ละสามครั้ง”  

“นอกจากจะเป็นนักเตะเยาวชนแล้ว ในบางครั้งผมยังต้องทำหน้าหน้าที่เป็นเด็กเก็บบอลเมื่อทีมชุดใหญ่ลงแข่งขันด้วย” 

ทุกอย่างๆ พัฒนาขึ้นตามลำดับ แต่สำหรับตัวของ มิลเนอร์ นั้น เขาพัฒนาได้รวดเร็วกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาได้รับโอกาสผลักดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว และได้ประเดิมสนามในสังเวียนพรีเมียร์ลีกครั้งแรกด้วยวัยเพียง 16 ปี กับ 309 วัน (นับเป็นผู้เล่นอายุน้อยเป็นอันดับ 2 ที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ณ ขณะนั้น เป็นรองแค่ เจมส์ วอห์น กับสถิติ 16 ปี 297 วัน แต่ปัจจุบันมีผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกคือ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต จากสโมสร ลิเวอร์พูล ด้วยสถิติ 16 ปี กับ 30 วัน)


Photo : www.thesportsman.com

“ผมยังจำได้ตอนที่พ่อผมเอาผลสอบ GCSE (การสอบระดับชั้นมัธยมของประเทศอังกฤษ) มาให้ผมที่สนามซ้อมได้อยู่เลย และหลังจากนั้นไม่กี่เดือนผมก็ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่”

“ตอนนั้นผมมีโปรแกรมไปที่ประเทศสกอตแลนด์กับทีมลีดส์ ยูไนเต็ดชุด U-19 แต่อยู่ๆ ก็โดนเรียกตัวกลับกะทันหัน ตอนแรกผมยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า ก่อนที่ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชจะบอกกับผมว่า ‘ไม่ต้องกังวล ฤดูกาลนี้แกได้เล่นฟุตบอลมากกว่าเดิมแน่’”

“มันน่าอัศจรรย์มากๆ”

ชีวิตของ เจมส์ มิลเนอร์ ในวัย 16 นั้นเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวย เขาคือหนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดของลีดส์ ยูไนเต็ด มีแววว่าจะขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับทีมได้ในอนาคต และที่สำคัญที่สุดคือการได้ลงเล่นให้กับสโมสรที่เขาหลงรักมาตั้งแต่เด็ก 

แต่หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ...

จำใจเอ่ยคำลา

ถ้าใครได้ติดตามฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในช่วงยุคปลาย 90’s ถึงต้น 2000’s คงน่าจะพอจำได้ว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในทีมที่ทำผลงานได้อย่างร้อนแรง ถึงจะไม่เคยคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก แต่ก็จบฤดูกาลด้วยการคว้าตั๋วไปเล่นรายการแข่งขันระดับทวีปได้แทบทุกครั้ง และนอกจากนั้นในรายการแข่งขันระดับทวีปพวกเขาก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน การันตีด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก
ฤดูกาล 2000-01 และรางวัลรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ (ยูโรปา ลีกในปัจจุบัน) ฤดูกาล 1999-2000


Photo : www.dreamteamfc.com

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร ด้วยนโยบายการเงินที่ผิดพลาด ทำให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก พวกเขาจำเป็นต้องขายบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ประจำทีมออกไปเพื่อพยุงสถานะของสโมสรให้อยู่รอด สิ่งที่ตามมาคือผลงานที่เคยดีก็เริ่มตกต่ำ จนกระทั่งฤดูกาล 2003-04 ฝันร้ายก็มาเยือนถิ่น เอลแลนด์ โร้ด เมื่อ ลีดส์ ยูไนเต็ดตกชั้นสู่ ลีก แชมเปี้ยนชิพ

จากสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก เนื่องจากรายได้ของลีกสองระดับนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ ลีดส์ ยูไนเต็ดจำเป็นที่จะต้องเร่ขายนักเตะออกเพื่อหาเงินเข้าสโมสรอีกครั้ง และในที่สุดก็ถึงคิวของ เจมส์ มิลเนอร์

“ในวันหนึ่งของช่วงพรีซีซั่น ต้อนรับฤดูกาล 2004-05 อยู่ๆ ผมก็ถูกเรียกเข้าพบกับผู้บริหารทีม พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้ผมต้องไปตรวจร่างกายที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด”

“ผมอึ้งไปเลย ก่อนจะตอบพวกเขาไปว่า ‘ผมเหรอครับ?’”


Photo : tribuna.com

“อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจสถานการณ์ของสโมสรเป็นอย่างดี พวกเขากำลังมีปัญหาด้านการเงิน ผมต้องเติบโตและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในเวลานั้นมีนักเตะหลายคนที่โดนเหมือนผม ผมเรียนรู้วิธีรับมือจากพวกเขา นั่นทำให้ผมรับมือกับทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว”

“การย้ายทีมครั้งนี้ถูกต้องสำหรับทุกฝ่าย ผมได้มีส่วนช่วยสโมสรที่ผมรัก นอกจากนั้นนิวคาสเซิลก็เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ ผมจะได้เล่นร่วมกับสุดยอดผู้เล่นอย่าง อลัน เชียเรอร์”

“ผมแค่เสียดายที่ผมไม่ได้เล่นให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด นานกว่านี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไงมันก็เป็นความทรงจำที่ดี” มิลเนอร์เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านสื่อ FourFourTwo

เส้นทางชีวิต

การต้องออกจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นสิ่งที่ เจมส์ มิลเนอร์ ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่เพียงการเข้มแข็ง และเดินหน้าต่อไปเท่านั้น ซึ่งตัวของ มิลเนอร์ ก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะหลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะค้าแข้งให้กับสโมสรไหน เขาก็โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และยังรักษามาตรฐานนั้นไว้ได้ตลอด ไม่มีขาดตกบกพร่อง 


Photo : www.dailymail.co.uk

ที่ นิวคาสเซิล เขาคือกำลังหลักสำคัญ ด้วยผลงานการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 94 นัด และยิงได้ 6 ประตู ตลอด 3 ฤดูกาล ก่อนที่ในปี 2008 เขาจะย้ายเข้าร่วมทีม “แอสตัน วิลล่า” ซึ่งที่นี่รังสีความเป็นยอดดาวเตะของเขาก็ยิ่งเด่นชัด การันตีด้วยรางวัล PFA Young Player of the Year ประจำฤดูกาล 2009-10 และด้วยผลงานระดับนี้ จึงทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาอยู่ในยุคเริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่ ด้วยการกว้านซื้อบรรดานักเตะชื่อดังเข้าสู่ทีม ตัดสินใจทุ่มเงิน 22 ล้านปอนด์ คว้าตัวกองกลางรายนี้

“ผมรักทุกนาทีที่อยู่ที่นั่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือสโมสรที่ยอดเยี่ยม และผมก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการคว้า 2 แชมป์พรีเมียร์ ลีก, แชมป์ เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ร่วมกับพวกเขา”


Photo : www.90min.com

มิลเนอร์ใช้เวลา 5 ปีใต้ชายคาเรือใบสีฟ้า สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นนักเตะชั้นยอดโดยสมบูรณ์ นอกจากนั้นในนามทีมชาติอังกฤษ ช่วงเวลา 2009-2016 เขาก็ถือว่าเป็นกำลังหลักมาโดยตลอด โดยลงเล่นไปทั้งหมด 61 นัด ยิงได้ 1 ประตู

แต่สุดท้ายงานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มองว่าการต่อสัญญา เจมส์ มิลเนอร์ ในปี 2015 ซึ่งในขณะนั้นเขาอายุย่างเข้าเลข 3 แล้วน่าจะเป็นการต่อสัญญาที่ไม่คุ้มค่า เพราะค่าเหนื่อยที่ตัวมิลเนอร์ต้องการคือ 120,000 ปอนด์/สัปดาห์ ทำให้ในที่สุด เจมส์ มิลเนอร์ ก็กลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์

แน่นอนว่าด้วยดีกรีระดับนี้ ย่อมต้องมีสโมสรมากมายให้ความสนใจ มอบสัญญาให้เขาไปร่วมทัพ และหนึ่งในสโมสรที่มีข่าวหนาหูที่สุดก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไรก็ตามข้อสัญญาดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น เพราะสุดท้าย เจมส์ มิลเนอร์ ก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับสโมสร ลิเวอร์พูล อย่างที่ทุกคนรู้กัน และได้กลายมาเป็นหนึ่งในกำลังหลักคนสำคัญจนถึงปัจจุบัน


Photo : www.irishmirror.ie

ในวันนั้น มิลเนอร์ ไม่ได้ออกมาชี้แจงว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเลือก ลิเวอร์พูล แต่ก็คงคาดเดากันได้ไม่ยาก เพราะว่าเขาคือสายเลือดแห่ง ลีดส์ ยูไนเต็ด ศัตรูตลอดกาลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเอง และเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันจากปากเขาเองในบทสัมภาษณ์กับ FourFour Two เมื่อปี 2018 

“ครอบครัวผมเป็นแฟน ลีดส์ ยูไนเต็ด และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ชอบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”

“ถึงขั้นที่ว่าผมโดนห้ามใส่เสื้อสีแดงมาทั้งชีวิตเลยล่ะ ครั้งแรกที่ผมใส่เสื้อสีแดงคือตอนที่ผมติดทีมชาติอังกฤษ”

“และตอนนี้ก็เป็นเหมือนมุกตลกประจำครอบครัวผมไปแล้ว ที่ผมย้ายมาลิเวอร์พูล พวกเขาบอกว่าดีใจที่ได้เห็นผมใส่ชุดสีแดงทุกสัปดาห์”

จะกลับไปหรือไม่...ขึ้นอยู่กับโชคชะตา

“คุณจะกลับมาที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด หรือเปล่า?” นี่คือคำถามที่ มิลเนอร์ บอกว่าเขาเจอแทบจะตลอดเวลาเมื่อกลับไปละแวกบ้านเกิด


Photo : www.internethaber.com

“มันเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะทุกอย่างล้วนเป็นการคาดการณ์ ไม่เคยมีข้อเสนอเข้ามาอย่างจริงจัง”

“ตั้งแต่ผมออกมาจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด พวกเขาก็ไม่เคยติดต่อเข้ามาเลย และในอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะติดต่อมาหรือเปล่า”

“แน่นอนว่าตอนนี้ผมมีความสุขกับสโมสร ลิเวอร์พูล แต่ยังไงผมก็ยังรัก ลีดส์ ยูไนเต็ด เสมอ รักสโมสรแห่งนั้น รักแฟนๆ”

“ถ้าเวลาของผมกับ ลิเวอร์พูล สิ้นสุดลง แน่นอนว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด คือจุดหมายปลายทางที่ผมสนใจ เพียงแต่ว่าถ้าผมกลับไปแล้วทุกอย่างมันไม่ได้สวยงามเหมือนในเทพนิยายล่ะ ถ้าผมไม่ได้เหมาะกับพวกเขา ไม่ใช่เวลาที่ใช่ สุดท้ายมันก็จะเป็นแค่การกลับไปรำลึกความหลัง” เจมส์ มิลเนอร์ กล่าวไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา “Ask a Footballer: My Guide to Kicking a Ball About”


Photo : www.leeds-live.co.uk

ตอนนี้ทุกคนคงเข้าใจแล้วว่าผู้ชายที่ชื่อ เจมส์ มิลเนอร์ รักสโมสร ลีดส์ ยูไนเต็ด มากขนาดไหน เป็นความรักที่มีแต่ความหวังดี เห็นแก่สโมสรมากกว่าตัวเอง ดังนั้นสุดท้ายทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วว่าจะนำพาให้เขาไปบรรจบกับสโมสรที่เขารักอีกครั้งหรือเปล่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook