"โคบี ไบรอันท์" : 20 ปีที่เป็นนิรันดร์และประวัติศาสตร์ที่ทิ้งไว้
ไม่มีนักกีฬาคนไหนที่รีดเค้นขีดจำกัดระดับท็อปลงมาใส่ในสนามแข่งขันได้ทุกนัด..
ไม่ว่าจะอัจฉริยะอย่างไร มีชื่อเสียงแค่ไหน ถึงวันหนึ่งพวกเขาจะต้องเจอกับวันที่ต้องรับมือ เมื่อวันที่สังขารส่งผลถึงการเล่น และจากคำชมก็กลายเป็นเสียงวิจารณ์ที่พวกเขาไม่เคยได้พบเจอ
โคบี ไบรอันท์ ตำนานแห่ง NBA ผู้ล่วงลับก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่าราชาแห่งลอสแอนเจลิส หรือบางครั้งถึงขั้น ราชาแห่ง NBA ก็ตาม.. แต่ในช่วงปลายอาชีพกับ แอลเอ เลเกอร์ส ตัวของเขาก็ไม่ถูกใจแฟนๆ และมีหลายคนบอกว่าเขาควรจะเลิกเล่นเพื่อทำประโยชน์สูงสุดให้กับทีมได้แล้ว
แต่สุดท้าย.. สิ่งที่ชี้วัดว่าโคบีได้รับความรักจากแฟนๆของเลเกอร์สอย่างที่สุดก็แสดงออกมาในวันที่เขาเลิกเล่น วันที่ทุกเสียงด่าที่เคยมีเปลี่ยนเป็นคำอวยพรและเสียงสรรเสริญเขาในฐานะ "ราชาแห่งเลเกอร์ส" ที่ยากจะหาตัวแทนได้
จุดเริ่มต้น.. ที่เลเกอร์สพร้อมแลกเพื่ออนาคต
โคบี ไบรอันท์ เป็นชาวเมืองฟิลาเดลเฟียโดยกำเนิด เขาเกิดมาพร้อมกับ DNA ของนักบาสเกตบอลอย่างแท้จริง เพราะพ่อของเขา โจ "เจลลี่บีน" ไบรอันท์ คือนักบาสอาชีพที่เล่นใน NBA มาร่วม 16 ปี ก่อนจะผันตัวมาเป็นโค้ชในระดับ NBA เช่นกัน ขณะที่ลุงของเขา (พี่ชายของแม่) ที่ชื่อว่า จอห์น "ชับบี้" ค็อกซ์ ก็เป็นผู้เล่นที่เคยเล่นใน NBA มาแล้วเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่า DNA จากฝั่งพ่อหรือฝั่งแม่ก็ดูเหมือนว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะทางบาสเกตบอลอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมันไม่มีหลักฐานยืนยันหรอกว่าคนเรานั้นแค่เกิดมาจากตระกูลที่เก่งกาจ จะได้รับการการันตีว่าจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือในบั้นปลาย แต่สิ่งเหล่านี้มันคือต้นทุนที่จะนำไปสู่การต่อยอดที่สามารถทำได้ง่ายกว่าคนอื่นๆที่ต้องมาเริ่มจากศูนย์หรือติดลบ และตระกูลของเขาก็ถือว่าโชคดี ที่นอกจากจะได้ให้กำเนิดเด็กน้อยผู้มีอัจฉริยะภาพทางบาสเกตบอลแล้ว ไอ้หนูคนนี้ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ตัวเองเป็น และไม่มีเคยมีคำว่าครึ่งๆกลางๆสำหรับบาสเกตบอล
"ผมยังจำความตอนเป็นเด็กๆได้ดี ผมหลงรักความรู้สึกที่บอลอยู่ในมือของผม ผมชอบเสียงกระทบระหว่างลูกบาสกับสนามที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง เมื่อเงยหน้าไปคุณจะเห็นแป้นและห่วง, คุณจะได้ใช้ความคิดในการคาดการณ์ ตาของคุณจะเห็นแสง และหูของคุณจะได้ยินเสียง.. นั่นแหละคือเสียงแห่งชีวิต" โคบีเล่าย้อนไปในวัยเด็กภายใต้บทความ Mamba Mentality
เมื่อเกิดมาเพื่อบาสเกตบอลแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ลุยเต็มที่เพื่อไปยังจุดที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าตนเองจะจินตนาการได้ โคบี ไบรอันท์ จึงแทบไม่มีชีวิตในช่วงของการเป็นวัยรุ่นให้เที่ยวเล่นเหมือนคนอื่นๆเลย สมาธิของเขาแน่วแน่ และสภาพจิตใจของเขาก็แข็งแกร่ง จนยากที่เรื่องราวที่อาจจะทำให้อาชีพนักบาสที่เขาใฝ่ฝันไปถึงช้ากว่ากำหนดจะแทรกเข้ามาได้ กล่าวคือ เขามีทัศนคติของการเป็นมืออาชีพตั้งแต่วันที่คิดจะเอาจริงกับบาสเกตบอลแล้ว
"ผมคือคนที่จะไล่ตามความสมบูรณ์แบบ" นั่นคือสิ่งที่โคบีวัยทีนเอจเล่าถึงสิ่งที่เขาเป็น
ชื่อของ โคบี ไบรอันท์ กลายเป็นชื่อที่โด่งดังไปทั่ววงการบาสระดับไฮสคูล จนถึงขนาดที่ทีมใน NBA อย่าง ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส ต้องส่งตัว จอห์น ลูคัส โค้ชของทีมชุดใหญ่มาดูเกมของโคบีให้เห็นกับตาตอนที่เขาลงเล่นให้กับโรงเรียน Lower Merion High School
มีคำกล่าวที่ว่า เมื่อคนเราได้ทำในสิ่งที่รักแล้วล่ะก็ ต่อให้หนักหนาแค่ไหน ก็ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย.. โคบีเองก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่ได้แค่บอก แต่เขาลงมือทำมันทุกวันเพื่อไล่ตามความสมบูรณ์แบบที่ตามหา และรู้ตัวอีกทีเขาก็เป็นเด็กระดับประวัติศาสตร์ของวงการบาสอเมริกาไปแล้ว
ปี 1996 โคบี ไบรอันท์ เรียนจบระดับมัธยมปลายมาหมาดๆ ซึ่งตามปกติหรือส่วนใหญ่แล้ว เขาจะต้องรอเลือกมหาวิทยาลัยระดับแถวหน้าของประเทศที่ต้องการตัวเขาในโควต้านักกีฬา ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น การแข่งขันในระดับมหาวิทยาลัยถือว่าเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ และเกมบางเกมมีคนดูมากกว่าระดับการแข่งขันอาชีพด้วยซ้ำ
ทว่าไอ้หนุ่มโคบีผู้คลั่งไคล้บาสเกตบอลคิดไปไกลกว่านั้นแล้ว ขณะที่คนอื่นเลือกไต่บันไดทีละก้าว โคบีในวัย 17 ปี เลือกกระโดดข้ามขั้น ด้วยการเข้าระบบดราฟต์สู่ลีกอาชีพอย่าง NBA ทันที มองเผินๆแล้วอาจจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จริงๆแล้วมีความเสี่ยงรออยู่มาก เพราะกฎของการดราฟต์มีอยู่ว่า หากผู้เล่นคนใดเคยลงทะเบียนในการดราฟต์และไม่ถูกเลือก พวกเขาจะไม่มีสิทธิ์มาลงทะเบียนดราฟต์เป็นครั้งที่ 2 และต้องย้ายทีมแบบฟรีเอเยนต์แทน ซึ่งมันมีราคาที่ต้องจ่าย คือการชวดเงินก้อนโตจากสัญญาอาชีพนั่นเอง
และในการดราฟต์ครั้งนั้นถือเป็น 1 ในดราฟต์ประวัติศาสตร์ของ NBA เพราะโคบีถูกเลือกเป็นอันดับ 13 จากการดราฟต์รอบแรก โดยทีมชาร์ล็อตต์ ฮอร์เน็ตส์ ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นตำแหน่งการ์ดคนแรกที่ได้เข้ามาเล่นใน NBA ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย
อย่างไรก็ตาม วาสนาของโคบีกับชาร์ล็อตต์ก็ไม่ได้บรรจบกัน เนื่องจากก่อนที่การดราฟต์จะมาถึง เอเย่นต์ของโคบีมองว่า ชาร์ล็อตต์ยังไม่ใช่ทีมที่เหมาะกับโคบีในเวลานี้ และทางฝั่งชาร์ล็อตต์เองก็มีแผนที่จะเทรด หรือแลกตัวผู้เล่นกับฝั่งแอลเอ เลเกอร์ส อยู่แล้ว โดยเล็งไว้ที่ผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ซึ่งทีมขาดอยู่
หลังจากนั้นจึงมีการทดสอบด้วยการเอาโคบีมาลงซ้อมกับทีมเลเกอร์ส และกลายเป็นว่าฟอร์มของเขาในวันนั้นโดนใจ เจอร์รี เวสต์ อย่างแรง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่ออยากได้เด็กที่เก่งที่สุด พวกเขาก็จำเป็นต้องหาผู้เล่นที่ดีเหมาะสมในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้.. และเวสต์ยอมแลกด้วย วลาด ดีวัช เซ็นเตอร์ตัวหลักของทีมเพื่อเด็กหนุ่มวัย 17 ปี อย่าง โคบี ไบรอันท์ นี่คือจุดเริ่มต้นที่แฟนเลเกอร์สทุกคนบนโลกนี้ต้องขอบคุณการตัดสินใจของเจอร์รี เวสต์
ไม่ต้องกลัว.. เรามีโคบี
ความสามารถอันเหลือล้นของโคบีตั้งแต่วัยทีนเอจ นอกจากจะทำให้แฟนๆของเลเกอร์สหลงรักแล้ว มันยังทำให้เขาถูกเกลียดจากแฟนทีมอื่นๆด้วย เพราะ ณ เวลาที่เขาขึ้นมาสร้างชื่อใน NBA เขาถูกเอาไปเทียบกับ G.O.A.T. ของวงการอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ซึ่งทำให้หลายคนหมั่นไส้และไม่คิดว่าโคบีที่เพิ่งจบม.ปลาย ควรได้รับการยกย่องขนาดนั้น
แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่แรก โคบีเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ การโดนรุมโห่และเกลียดชังจากฝั่งตรงข้ามคือสิ่งที่จิ๊บจ๊อยมากสำหรับเขา ด้วยสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งเกินเด็ก โคบีมักจะตอบบทสัมภาษณ์กวนๆแบบเจ็บจี๊ดใส่เหล่า Hater แต่ในทางตรงกันข้าม ทุกครั้งที่มีคนถามถึงเรื่องของเขากับเลเกอร์ส เขาจะตอบให้แฟนของยอดทีมจากแอลเออุ่นใจเสมอ ประมาณว่า "ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ห่วยอย่างที่ไอ้พวกนั้นพูดหรอก"
"ผมจะทำมันทุกทางที่ทำให้ทีมของเราเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าจะต้องนั่งบนม้านั่งข้างสนาม โบกผ้าขนหนูเพื่อเชียร์ เป็นเด็กส่งน้ำให้เพื่อนร่วมทีม หรือยิงลูกปิดเกม อะไรก็ได้ทั้งนั้น" โคบีเจ้าของเสื้อหมายเลข 8 ในเวลาดังกล่าว (ก่อนเปลี่ยนใส่เบอร์ 24 ในเวลาต่อมา) ยืนยันตัวตนของเขามาตลอด
โคบีทำให้เลเกอร์สมั่นใจได้เสมอว่า เมื่อมีเขาอยู่ในสนาม เขาจะสู้เพื่อทีมจริงๆ และมันก็เป็นเช่นนั้น ปีแล้วปีเล่าเขานำความสำเร็จมาสู่ทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปีที่เขาจับคู่กับ "แชค" ชาคีล โอนีล ไล่ถล่มคู่แข่งจนคว้าแชมป์ 3 ฤดูกาลซ้อน ช่วงปี 2000-2002 นั้นถือว่าเป็นปีที่เลเกอร์สเข้าข่ายคำว่าไร้เทียมทานมากที่สุด
และสัจธรรมก็คือ เมื่อคุณยิ่งเก่งจนไม่มีใครโค่นคุณได้ง่ายๆ คุณยิ่งกลายเป็นคนที่ศัตรูเหล่านั้นรอเล่นงานเมื่อคุณพลาด ดังนั้น เมื่อเลเกอร์สแพ้แต่ละครั้ง คำวิจารณ์ทั้งหมดจะตกเป็นของโคบีแต่เพียงผู้เดียวอยู่เป็นประจำ นั่นคือสิ่งที่เหล่ากองแช่งหรือฝั่งตรงข้ามทำมันเสมอ ซึ่งกับผู้เล่นคนอื่นๆ หรือทีมอื่นๆ งานของกองแช่งอาจจะสำเร็จ แต่สำหรับแฟนๆของเลเกอร์ส พวกเขาไม่จำเป็นต้องห่อเหี่ยว เพราะหลังจากโดนล้อไม่นาน โคบีจะสวนกลับด้วยปากและวาจาที่เจ็บแสบกว่าหลายเท่า และหลังจากนั้นจะตามด้วยผลงานในสนามที่อุดปากกองแช่ง และทำให้แฟนเลเกอร์สใส่เสื้อแข่งของทีมและเดินยืดอย่างสง่าผ่าเผยได้ทุกทีไป
"อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในแง่ลบ ล้วนเป็นสิ่งขัดขวางของผมทั้งหมด ความกดดัน ความท้าทาย แต่ผมมองพวกมันในอีกแบบ ความยากลำบากเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้เฉิดฉายได้"
"ชัยชนะคือเหตุผลที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ชัยชนะไม่มีที่ว่างให้กับข้ออ้าง หรือคำว่าเกือบ อย่างแน่นอน" นี่คือแนวคิดของโคบี เพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ผู้ควบคุมสถานการณ์ร้ายๆได้ดีที่สุดคนหนึ่งที่วงการเคยมี
หัวอกของแฟนกีฬาแต่ละทีมย่อมเข้าใจดีว่า การมีผู้เล่นที่ปราศจากความกลัวอยู่ในทีมนั้นสามารถสร้างความมั่นใจได้ดีขนาดไหน ไม่ว่าจะกับตัวแฟนๆ หรือเพื่อนร่วมทีมก็ตาม ซึ่งโคบีเองก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเขายืนในสนาม ทุกคนรู้ว่าวันนี้ เลเกอร์สมีโอกาสจะจบเกมด้วยการเป็นผู้ชนะ
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาสมบูรณ์แบบ.. อันเกิดจาก 2 เหตุผลที่ผสมกัน อย่างแรกคือ โคบีเป็นนักกีฬาอาชีพที่ไม่เคยอ่อนข้อให้ความขี้เกียจเลย แม้ว่าเขาจะถูกเรียกในฐานะยอดผู้เล่นที่ดีที่สุดของยุค แต่เขายังฝึกหนักยิ่งกว่าใครๆ
เรื่องนี้แชคเคยบอกว่า นอกจากจะซ้อมนานแล้ว โคบียังเป็นผู้เล่นที่ตั้งใจซ้อมและใส่ใจแทบทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมตอนที่มีบอลอยู่กับมือหรือว่าซ้อมวิ่งตัวเปล่า เขาทำมันวันละหลายชั่วโมงกับบททดสอบเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังว่ากันว่า หลังจากที่เขากลายเป็นแชมป์ NBA, คว้ารางวัล MVP หรือเหรียญทองโอลิมปิก เขายังไม่เคยลดความเข้มข้นในการซ้อมลงเลยแม้แต่น้อย
ทุกๆเช้า เสื้อของโคบีจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อตั้งแต่ตี 5 และจากนั้นเขาจะไปซ้อมในโรงยิมร่วมกับทีมต่อ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และหลายคนยืนยันว่าการเป็นผู้ชนะในโรงยิมนี้เอง ทำให้โคบีกลายเป็นผู้ชนะในสนามแข่งจริงได้อย่างง่ายดาย
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้โคบีกลายเป็นศูนย์รวมใจของทีม และเป็นที่พึ่งทางใจอันดับ 1 ของแฟนบาสทีมเลเกอร์สคือ เขาเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูงมาก เขาเป็นพวกใส่ใจเพื่อนร่วมทีม และต้องการที่จะผลักดันทุกคนให้ข้ามขีดจำกัดของตัวเองให้ได้ แม้บางครั้งจะเป็นการสร้างความกดดันให้คนรอบข้างก็ตาม ซึ่งโคบียืนยันว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ถูกแล้ว!
"ผมชอบท้าทายคนอื่น และทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด กดดัน เพราะสิ่งเหล่านี้นี่แหละจะทำให้พวกเขาคิดได้ และนำไปสู่การปรับปรุงตัวเอง คุณพูดได้เต็มปากเลยว่า ผมเป็นพวกกล้าเสี่ยง (กับความสัมพันธ์) เพื่อทำให้พวกเขาหาฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองให้เจอ"
"ผมไม่เคยลังเลใจเลยสักนิดที่จะทำแบบนั้น (กดดันคนอื่นๆ) และเมื่อเวลาผ่านไป ผมยังคงท้าทายพวกเขาอยู่ แต่ผมทำการบ้านเกี่ยวกับตัวพวกเขามาก่อน คนนี้มีพฤติกรรมอย่างไร? คนนี้ชอบคำเตือนแบบไหน? และเมื่อพวกเขาเข้าใจ ผมสามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดออกมาได้ ผมเพียงแค่ต้องสัมผัสจุดอ่อนของพวกเขาให้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลาและเหมาะสมที่สุด"
แชมป์ NBA 5 สมัย คือคำตอบว่าสิ่งที่โคบีทำทั้งหมดส่งผลต่อเลเกอร์สในยุคของเขามากขนาดไหน โดยเฉพาะในยุค 2000's เลเกอร์สถูกตีตราว่าเป็นโคตรทีมที่ดีที่สุดแห่งยุคเลยทีเดียว
คำตอบในตอนจบ
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดีๆไม่ได้เกิดขึ้นตลอดไปสำหรับเลเกอร์สและโคบี.. วัฏจักรของวงการกีฬาคือ เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง สังขารจะเล่นงานคุณ และสูงสุดก็จะกลับคืนสู่สามัญ
ในช่วงที่โคบีใกล้เลิกเล่น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หวานอมขมกลืนสำหรับแฟนๆของเลเกอร์สบางส่วน หลายคนเริ่มบอกว่าเขาเล่นแบบเห็นแก่ตัวมากกว่าเล่นเพื่อทีม เพราะโคบีเป็นคนที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุด ทั้งๆที่ตัวของเขาก็บาดเจ็บออดๆแอดๆ ได้ลงเล่นไม่ต่อเนื่อง
ซึ่งกฎของ NBA คือ ทุกทีมมีกำแพงค่าเหนื่อยที่ถูกกำหนดไว้ หากทีมใดไม่สามารถควบคุมค่าเหนื่อยในทีมให้ไม่เกินตัวเลขดังกล่าวได้ ทีมนั้นจะต้องจ่ายภาษีกันหูฉีกแน่นอน ด้วยกฎดังกล่าว ทำให้แฟนเลเกอร์สหลายคนมองว่าโคบีควรจะต้องจากไป ไม่ว่าจะในรูปแบบของการเทรด หรือการประกาศรีไทร์ เพราะเล่นได้ไม่สมค่าจ้าง และนำค่าเหนื่อยของเขาไปจ้างผู้เล่นเก่งๆมาแทนที่สัก 2-3 คน
แต่ทำไมเรื่องนี้จึงไม่เกิดขึ้น? และการสงสัยในตัวของโคบีเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ จากคนกลุ่มเล็กๆ..
เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเลเกอร์สกับโคบีนั้นมันยาวนานเกินกว่าจะเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้างไปแล้ว พวกเขาประสบความสำเร็จร่วมกัน และถึงวันที่ต้องตกต่ำก็ดูเหมือนว่าโคบีพยายามจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการพาทีมรักเพียงหนึ่งเดียวของเขากลับมาผงาด มันไม่ใช่เรื่องของเงิน แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบ และขอสู้จนถึงที่สุดต่างหาก
"ผมได้ยินเรื่องไร้สาระมาเยอะมาก พวกเขาบอกว่าโคบีควรออกไปได้แล้ว ไปเล่นกับทีมอื่นในช่วงบั้นปลาย แต่บอกตรงๆนะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำ ผมไม่เคยลดความจงรักภักดีที่มีต่อเลเกอร์สแม้แต่น้อย" โคบีในวัย 33 ปี พูดถึงข่าวลือที่มีต่อตัวของเขาเอง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โคบีมีข่าวว่าจะย้ายออก เพราะครั้งแรกต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 2007 ช่วงที่โคบียังหนุ่มกระทง และเก่งระดับปีศาจ.. ทำคนเดียว 81 แต้มใน 1 เกม (พบ โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส เมื่อปี 2006) คือการยกตัวอย่างที่จบทุกข้อสงสัยได้ดี
ความเก่งกาจของโคบี ณ ตอนนั้น แน่นอนว่าไม่มีแฟนเลเกอร์สคนไหนกล้าคิดจะไล่และหวังว่าเขาจะออกจากทีม แต่ในโลกของการซื้อ-ขาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ณ เวลานั้น ชิคาโก้ บูลส์ คือตัวเลือกอันดับ 1 ของโคบีเลยด้วยซ้ำไป และหากเขาย้ายจริงๆ รับรองได้ว่าแฟนๆของเลเกอร์สต้องใจสลายกับการจากไปของ "แบล็ค แมมบ้า" แน่นอน
"นั่น (การใกล้ย้ายไป บูลส์) เป็นเรื่องจริง.. ชิคาโก้ คือตัวเลือกอันดับ 1 ของผมในเวลานั้น ตอนนั้นมีทีมยื่นข้อเสนอสวยๆให้กับผมหลายทีมเลย" โคบีกล่าวกับ LA Times ในภายหลัง
ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด โคบีไม่ได้ย้ายไปไหน และในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด เขาก็พยายามอย่างเต็มที่เท่าที่ตัวเองจะทำได้ เผลอแวบเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วกว่า 20 ปี จนถึงวันที่โคบีจะลงเล่นเกมสุดท้ายให้เลเกอร์สในวัย 37 ปี เมื่อปี 2016
เกมในวันนั้น ซึ่งพบกับ ยูท่าห์ แจ๊ซ คือคำตอบของทุกสิ่ง ว่าแท้จริงแล้วแฟนๆของเลเกอร์สนั้นคิดอย่างไรกับเขา บรรยากาศทั่วเมืองลอสแอนเจลิสในวันนั้นเป็นเหมือนกับวันของโคบีอย่างแท้จริง ทุกส่วนของเมืองไม่ว่าจะเป็น บิลบอร์ด, ป้ายโฆษณา, ทีวี, สถานีรถไฟ และการคมนาคมทุกเส้นทาง ประดับไปด้วยหมายเลข 24 และพูดถึงวันสุดท้ายในฐานะผู้เล่นเลเกอร์สของโคบีอย่างพร้อมใจ
เมื่อเวลาของการแข่งขันใกล้เริ่ม แฟนๆของเลเกอร์สเริ่มปรากฎตัวด้วยเสื้อสีเหลือง-ม่วง สกรีนชื่อเลเกอร์สกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อให้เกียรติตำนานที่ยิ่งใหญ่ของเขาพวกเขา.. ถนนทุกสายพุ่งตรงมายังสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ สังเวียนเหย้าของเลเกอร์ส ผู้คนทั้งเมืองไม่ว่าจะเป็นคนดังขนาดไหนตั้งตารอเกมประวัติศาสตร์เกมนี้
"แน่จริงยิงให้ถึง 50 แต้มสิ" นี่คือสิ่งที่แชค อดีตคู่กัดที่กลายเป็นคู่ซี้ของโคบีกล่าวท้าทายก่อนเกมนี้จะเริ่ม.. และทันทีที่เกมเริ่มขึ้น มันก็กลายเป็น "โคบี โชว์" ไปโดยปริยาย ในวัยเกือบย่างเข้าหลักสี่ โคบีเหมือนกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง กดไป 60 แต้ม ยิงในจังหวะโอเพ่นเพลย์ (ฟิลด์โกล) ลงไปทั้งสิ้น 22 ลูก โดยเป็น 3 แต้ม 6 ลูก และกดไปอีก 10 ลูกโทษ พร้อมด้วย 4 แอสซิสต์ 4 รีบาวด์.. มหัศจรรย์! มหัศจรรย์! เสียงคนพากย์เกมนี้พูดคำว่า มหัศจรรย์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ครั้ง
20 ปีที่แสนยาวนานปิดฉากลงอย่างสวยงามที่สุดเท่าที่ใครสักคนจะจินตนาการได้ โคบี ไบรอันท์ สั่งลาด้วยฟอร์มที่ทุกคนไม่มีวันลืมว่าเขาเก่งขนาดไหน และในขณะเดียวกันก็ลืมทุกสิ่งที่เคยต่อว่าและทุกคำถามที่เคยสงสัยไปโดยปริยาย
นาทีนี้ไม่มีโคบีผู้เล่นสายโซโล่เพลย์ เงินเยอะฟอร์มห่วย หรือผู้เล่นเปลืองโควต้าเงินเดือนอีกแล้ว เหลือแต่เพียงคำว่า โคบี ไบรอันท์ ตำนานที่คู่ควรที่สุดสำหรับแอลเอ เลเกอร์ส..
"จะให้ผมกอบโกยแต่ช่วงเวลาดีๆและมีความสุข แต่พอถึงช่วงเวลาแห่งความทุกข์ผมกลับกระโดดลงเรืออีกลำ แบบนั้นมันทำไม่ได้หรอก ผมต้องการตอบสนองด้วยการพาเรากลับมาอยู่ในจุดที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องช่วยแก้กันแบบวันต่อวันเลยล่ะ" นี่คือสิ่งที่เขาเคยกล่าวไว้ในวันที่มีข่าวว่าจะย้ายออกในช่วงฤดูกาล 2013-14
ทุกอย่างได้ข้อสรุปลงแต่โดยดี สำหรับคนรักกันนั้น บางครั้งย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจและเห็นต่างกันไปบ้าง แต่สุดท้ายการก้าวผ่านการทะเลาะไปด้วยกัน ก็จะทำให้เรารู้ว่าความรักที่แท้จริงนั้นสวยงามแค่ไหน
มีคำกล่าวว่า "ฮีโร่เข้ามาแล้วจากไป แต่ตำนานนั้นไซร้อยู่นิรันดร์".. ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่า โคบี ไบรอันท์ อยู่ในสถานะไหนของแอลเอ เลเกอร์ส ไม่ว่าเขาจะยังอยู่หรือจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ