"ไมเคิล โอเวน" ตำนานแห่งสองคู่แค้น (คอลัมน์สนุกมือ / ธีรพัฒน์ อัครเศรณี)
เอ่ยชื่อ ไมเคิล โอเวน คงไม่มีแฟนลูกหนังคนใดไม่รู้จักใช่มั้ยครับ ช่วงนี้หลังจากเลิกค้าแข้งเขาหันมาเอาดีทางการเป็น Pundit หรือผู้วิเคราะห์เกมให้กับทางพรีเมียร์ลีก ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมีเสน่ห์บวกความรู้ความเข้าใจเกม เหมือนเขาจะทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้ยามสมัยเมื่อโลดแล่นอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี
ดูไปแล้วก็อดย้อนคิดถึงสมัยได้รับสมญาว่าเป็น "เบบี้โกล์" ในยุคเดียวกับ "เพชฌฆาตหน้าทารก" อย่าง โอเล กุนนาร์ โซลชา ซึ่งปัจจุบันนั่งแท่นกุนซือถิ่นโอลด์ แทร์ฟฟอร์ด ช่วงนั้นนับว่า โอเวนเป็นนักเตะมหัศจรรย์แห่งเกาะอังกฤษ ติดทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ต่อมาก็ดังระเบิดเถิดเทิงกับทีมชาติอังกฤษในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 1998 ที่เขาลากบอลเข้าไปยิงประตูทีมอาร์เจนตินาอย่างสุดสวย ในเวลาเพียงไม่นานกลายเป็นขวัญใจ "เดอะ ค็อป" ทั่วโลกรวมทั้งในเมืองไทย
คงยังจำกันได้ว่าหลังจากพา "หงส์" ได้เทรเปิลแชมป์เมื่อปี 2001 ในยุคของเชราร์ อุลลิเยร์ "เบบี้โกล" ได้เดินทางมาเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนบอลชาวสยามในนัดเฟรนลี่ย์แมทช์ที่กรุงเทพฯ
ลิเวอร์พูล ยุคนั้นโอเวนจับคู่กับเอมิล เฮสกีย์ กองหน้าที่หลายๆคนอาจจะชอบใจฟอร์มนัก แต่ไม่น่าเชื่อนะครับ โอเวนนั้นเคยเปิดใจว่า ในบรรดาคู่ขาที่เขาเล่นร่วมด้วยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ร็อบบี ฟาวเลอร์, ยารี ลิตมาเนน รวมทั้ง อลัน เชียเรอร์, เวย์น รูนีย์ ในทีมชาติอังกฤษ เขาชอบจับคู่กับเฮสกีย์มากที่สุด เพราะเข้าขารู้ใจแม้จะมีความแตกต่างกันทุกทาง ทั้งเรื่อง รูปร่าง, สไตล์การเล่น, ความถนัดต่างๆ แต่มันกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด
ถ้าขีดเส้นจบแค่นี้ ไมเคิล โอเวน น่าจะกลายเป็นตำนานในถิ่นแอนฟิลด์ได้ไม่ยาก แต่พอปี 2004 ยุคของ ราฟา เบนิเตซ เขากลับตัดสินใจย้ายทีมหลังได้รับข้อเสนอจาก เรอัล มาดริด ยุคกาแลคติกอส ทั้งๆที่มีเสียงเพื่อนๆทัดทานว่า "ย้ายไปแล้ว เอ็งจะได้เล่นตัวจริงหรือวะไอ้ทิด?"
แต่โอเวนในนาทีนั้นหาฟังไม่ เขาเผยความรู้สึกในภายหลังว่าเป็นการตัดสินใจอันยากลำบากที่สุด โดยเฉพาะระหว่างนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน ความรู้สึกกำลังทิ้งเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมานั้นเกินบรรยาย
อีกมุมหนึ่งเขาก็คิดว่าถ้าทิ้งข้อเสนอของทีมระดับ "ราชันชุดขาว" ซึ่งยุคนั้นมีนักเตะระดับโลกคับทีมลงชักโครก ตัวเขาเองคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่แท้
หลังจากนั้นไม่นาน โอเวนไม่ประสบความสำเร็จกับ เรอัล มาดริด (ตามคาด) เขาสารภาพว่าตอนนั้นอยากกลับมาเล่นลิเวอร์พูลสุดหัวใจ แต่ "ราชันชุดขาว" ออกลูกเขี้ยวโก่งค่าตัวเขาเอาไว้ถึง 16 ล้านปอนด์ หรือสองเท่าจากตอนที่ซื้อไป
มีเพียง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ทีมเดียวเท่านั้นที่กล้าสู้ราคา ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมาค้าแข้งในอังกฤษกับ "สาลิกาดง" ยืนกับ อลัน เชียเรอร์ คู่ขาทีมชาติอังกฤษในยุคนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ทว่าโอเวนกลับโชคร้ายต้องพบกับอาการบาดเจ็บหนักต้องหยุดเล่นไปเป็นปี ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่ามันทำให้เขาไม่สามารถใช้ความเร็วจากสปีดต้นสายฟ้าแล่บเหมือนสมัยหนุ่มๆได้อีกเลย
"เบบี้โกล" ล้มเหลวเป็นคำรบสองและเมื่อหมดสัญญาในถิ่นไทน์ไซด์ เป็นอีกครั้งที่เขาพยายามกลับสู่ถิ่นแอนฟิลด์ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากสโมสรเก่า มีเพียงข้อเสนอจาก เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง และจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่แค้นของลิเวอร์พูล
โอเวนสารภาพว่าไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องตัดสินใจเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เขาไปร่วมทีม "ปีศาจแดง" ในปี 2009 และสร้างความขุ่นเคืองให้แฟนหงส์อย่างหนัก แต่สุดท้ายก็บรรลุความฝันได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนได้
เส้นทางชีวิตบนถนนลูกหนังแบบ ไมเคิล โอเวน คงเกิดขึ้นกับใครอื่นอีกได้ยากเย็นนัก เหลือเชื่อมีนักเตะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เล่นให้ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับระดับซูเปอร์สตาร์หาได้ยากเย็นเต็มทน
ณ วันนี้พอได้เจอ ไมเคิล โอเวน อีกครั้งในบทบาทผู้วิเคราะห์ ขอให้ได้ทราบเอาไว้ว่าเห็นหน้ายิ้มๆแบบนี้ ใจกล้าบ้าบิ่นก่อเรื่องไว้เยอะเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนหงส์อย่างเต็มหัวใจเหมือนเดิม แต่คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสามารถสมัยวัยรุ่นของเขาที่เคยพาลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้วยเอฟเอ คัพ เมื่อปี 2001 ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "โอเว่น ไฟนอล" เลยทีเดียว