ไนกี้ เปิดตัวรองเท้าฟุตบอล "Nike Air Zoom Mercurial"

ไนกี้ เปิดตัวรองเท้าฟุตบอล "Nike Air Zoom Mercurial"

ไนกี้ เปิดตัวรองเท้าฟุตบอล "Nike Air Zoom Mercurial"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไนกี้ (Nike) นำเสนอรองเท้าฟุตบอลต้นแบบรุ่นไนกี้ แอร์ ซูม เมอร์คิวเรียล (Nike Air Zoom Mercurial) รองเท้าฟุตบอลต้นแบบรุ่นนี้มีชิ้นซูมแอร์แบบเต็มผืน (Zoom Air bag) ที่สามารถรองรับแรงกระแทกและซัพพอร์ตได้ดี ช่วยให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบายและสามารถมอบแรงส่งกลับมาได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นักออกแบบของไนกี้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างช่วงระหว่างใต้ฝ่าเท้าของผู้สวมใส่จนถึงพื้นรองเท้าใหม่หมด โดยใช้วัสดุชนิดใหม่ทดแทน เพื่อให้เท้าของผู้สวมใส่อยู่แนบกับชิ้นซูมแอร์มากที่สุด

ไนกี้ฟุตบอลเคยทำการทดลองใส่ชิ้นซูมแอร์ในรองเท้าฟุตบอลมาแล้วหลายสิบปีก่อน แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในรูปแบบใหม่ๆ เป็นแรงผลักดันให้นักออกแบบของไนกี้นำแนวคิดที่เคยทดลองไว้มาทดลองใหม่อีกครั้ง ชิ้นซูมแอร์ที่ไนกี้นำมาใช้ในรองเท้าฟุตบอลรุ่นต้นแบบนี้มีประโยชน์ทั้งในแง่การใช้งานและช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับรองเท้าฟุตบอลอีกด้วย

จองวู ลี (Jeongwoo Lee) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายออกแบบของไนกี้ฟุตบอลเล่าว่า “เราเริ่มต้นการออกแบบจากชิ้นซูมแอร์ที่มีความยาวตลอดตัวรองเท้า และปรับแต่งเพื่อศึกษาว่ารองเท้าจะมีลักษณะอย่างไรเมื่อชิ้นซูมแอร์ขยายตัวเต็มที่ จนเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของรองเท้า นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราออกแบบให้ตัวหน้าผ้าของรองเท้ารุ่นต้นแบบนี้มีลักษณะโปร่งแสง ซึ่งลักษณะหน้าผ้าเช่นนี้ช่วยให้เห็นถึงวัสดุด้านในรองเท้า ทำให้การสวมใส่มีสีสัน ดูโดดเด่นขึ้น และกลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบด้านความสวยงามของรองเท้า”

รองเท้าฟุตบอลรุ่นต้นแบบนี้ยังถือเป็นรองเท้าฟุตบอลรุ่นแรกที่ใช้หน้าผ้าที่เรียกว่าฟลายพรินต์ (Nike Flyprint) โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการพิมพ์วัสดุหน้าผ้ารองเท้าแบบ 3 มิติเทคโนโลยีแรกของไนกี้ เทคโนยีนี้เป็นเทคโนโลยีที่ไนกี้ออกแบบสำหรับรองเท้าสำหรับการแข่งขันกีฬา และนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์จริงครั้งแรกในรองเท้าวิ่งไนกี้ ซูม เวเปอร์ฟลาย อีลีท ฟลายพรินต์ (Nike Zoom Vaporfly Elite Flyprint) ที่สวมใส่โดยอีเลียด คิปโชเก้ (Eliud Kipchoge) นักวิ่งมาราธอนชื่อดัง

หน้าผ้าฟลายพรินต์นั้นผลิตขึ้นโดยใช้กระบวนการโซลิด ดิโพซิท โมเดลลิ่ง (เอสดีเอม) (Solid Deposit Modeling (SDM)) โดยเครื่องจักรจะดึงเส้นใยทีพียู (TPU Fiber) จากเกลียว และยืดให้ตรง หลอมเส้นใยก่อนจะวางเส้นใยทับกันเป็นชั้น เทคโนโลยี ฟลายพรินต์ยังช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างโครงสร้างของหน้าผ้าตามรูปเท้าของนักกีฬาแต่ละคนได้ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ ไนกี้สามารถพัฒนาหน้าผ้าได้แบบดิจิตอล และยังช่วยให้ไนกี้สามารถยกระดับเทคโนโลยีหน้าผ้ารองเท้าอื่นๆ ที่ไนกี้พัฒนามาก่อนหน้า เช่น ไนกี้ ไฮเปอร์ฟิวซ์ (Nike Hyperfuse), ฟลายวายร์ (Flywire) หรือฟลายนิต (Flyknit) ได้ด้วยกรรมวิธีหรือเทคนิคที่ไม่สามารถทำได้ในอดีต

ข้อดีอีกประการหนึ่งของหน้าผ้าที่ผลิตแบบ 3 มิติที่เหนือกว่าหน้าผ้าที่ผลิตแบบ 2 มิติ คือการเสริมความยืดหยุ่นของเนื้อผ้าด้วยกรรมวิธีตัดเย็บแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการตัดเย็บโดยใช้ด้ายพุ่งและด้ายยืน นอกจากนี้เทคนิคการผลิตแบบฟลายพรินต์นั้นยังเชื่อมวัสดุ หรือเส้นใยต่างๆ โดยการหลอมด้วยความร้อนแทนที่การเย็บ กล่าวคือ หน้าผ้าแบบทอหรือถักที่ผลิตโดยใช้ด้ายพุ่งและด้ายยืนนั้น จะมีแรงเสียดทานบริเวณที่เส้นใยเย็บติดกัน แต่หน้าผ้าที่ผลิตจากการหลอมเส้นใยนั้นจะช่วยให้นักออกแบบสามารถควบคุมและปรับแต่งในแต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ

สำหรับรองเท้าฟุตบอลต้นแบบรุ่นไนกี้ แอร์ ซูม เมอร์คิวเรียล นั้น มีหน้าผ้าที่ผลิตโดยเทคโนโลยีฟลายพรินต์ มีน้ำหนักเบากว่าและระบายอากาศได้ดีกว่าหน้าผ้าชนิดอื่นๆ ที่ไนกี้เคยผลิต นอกจากนี้ หน้าผ้าของรองเท้ารุ่นนี้ยังมีการเคลือบฟิล์มออลล์ คอนดิชั่น คอนโทรล (เอซีซี) (All Conditions Control (ACC)) เพื่อให้ทนทานกับสภาพอากาศต่างๆ มากขึ้น

หน้าผ้าของรองเท้าฟุตบอลต้นแบบนี้ได้รับการเสริมความแข็งแรงอย่างแม่นยำที่สุดโดยอาศัยทั้งกระบวนการออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ของไนกี้ และรูปแบบการผลิตหน้าผ้าโดยใช้เทคโนโลยีฟลายพรินต์เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของกีฬาฟุตบอลมากที่สุด โดยรองเท้ารุ่นไนกี้ แอร์ ซูม เมอร์คิวเรียลนี้ยังมีเส้นใยฟลายวายร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและปกป้องเท้าของผู้สวมใส่อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ชิ้นซูมแอร์ขนาด 4.5 มม. คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของรองเท้าต้นแบบรุ่นนี้

แม้ว่าวัตถุประสงค์ของการใส่ชิ้นซูมแอร์ในรองเท้าฟุตบอลต้นแบบรุ่นนี้อาจจะแตกต่างกับการทดลองในอดีตที่ไนกี้เคยทำ การทดลองใช้เทคโนโลยีแอร์ในรองเท้าในยุคปัจจุบันนี้เป็นการทดลองเพื่อให้รองเท้าตอบสนองต่อการเล่นได้ดีขึ้น มิใช่เพื่อความรู้สึกนุ่มสบายเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวในอดีต

คุณลี อธิบายว่า “ในอดีต เราออกแบบรองเท้าฟุตบอลโดยให้ความสำคัญกับแนวคิดว่านักฟุตบอลต้องรู้สึกสบายที่บริเวณส้นเท้ามากที่สุด แต่สไตล์ของผู้เล่นที่เหมาะกับรองเท้าฟุตบอลตระกูลเมอร์คิวเรียลนั้นมิได้ใช้ส้นเท้าเป็นหลักในการเล่นฟุตบอล ผู้เล่นเหล่านี้มักจะทะยานไปข้างหน้าโดยใช้หน้าเท้าอย่างต่อเนื่องตลอดการแข่งขัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ไนกี้พัฒนาชิ้นซูมแอร์ที่บาง และยาวตลอดตัวพื้นรองเท้า ซึ่งชิ้นซูมแอร์นี้จะช่วยให้นักฟุตบอลรู้สึกคล่องแคล่ว ออกตัวได้อย่างว่องไวในทุกจังหวะ ไม่ต้องกังวลกับสิ่งอื่นใด”

ชิ้นซูมแอร์นี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดทั้งตัวรองเท้า โดยบริเวณใต้ฝ่าเท้าจะเป็นจุดที่สามารถจับต้องและมองเห็นชิ้นซูมแอร์นี้ได้อย่างชัดเจน ไม่มีสิ่งใดบดบัง นอกจากนี้ยังมีตัวอักษร 20 Zoom ที่ด้านหลังส้นเท้าเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของนวัตกรรมซูมแอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ไนกี้ใช้ในรองเท้าต้นแบบรุ่นนี้ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีเอกลักษณ์ และอยู่คู่กับไนกี้มานาน กล่าวคือ พื้นรองเท้าไนกี้แอร์ทุกชิ้นตั้งแต่ปี 2008 มีวัสดุรีไซเคิลเป็นส่วนประกอบกว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ เทคโนโลยี ฟลายพรินต์ยังเป็นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งบริเวณที่รองรับหลังเท้านั้นจะมีข้อความว่า “Structure printed as a single strand = Zero Waste  (โครงสร้างผลิตจากเส้นใยม้วนเดียว = ไม่มีเศษวัสดุเหลือทิ้ง)

“รองเท้าต้นแบบรุ่นไนกี้ แอร์ ซูม เมอร์คิวเรียลเป็นเสมือนความพยายามของไนกี้ในการก้าวไปสู่อนาคต และยังเป็นผลงานที่ ไนกี้ใช้แสดงว่าเราทำอะไรได้บ้างในขณะนี้ ไนกี้สามารถประยุกต์ใช้นวัตกรรมต่างๆ เช่นไนกี้ซูมแอร์ และเทคโนโลยีฟลายพรินต์ได้มากขึ้น และเรายังพร้อมจะพัฒนานวัตกรรมของเราอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่ารองเท้าฟุตบอลยังพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง ไร้ขีดจำกัด”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook