ล้างแค้นให้ข้าด้วย : ความสัมพันธ์แนบแน่นของ 2 นักชกต่างยุค ไทสัน - อาลี
มูฮัมหมัด อาลี คือนักมวยระดับตำนานโด่งดังสุดๆ ในช่วงยุค 60's - 70's ขณะที่ ไมค์ ไทสัน นั้นก็พีกสุดๆในช่วง 80's และ 90's ด้วยช่องว่างราว 10 ปี จึงทำให้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ 2 นักชกขวัญใจแฟนๆ ไม่ได้ชกกันให้หายสงสัยว่าใครเก่งกว่ากัน
อย่างไรก็ดี แม้ไม่ได้ขึ้นชกตัดสินความเก่งกาจ แต่ความผูกพันของ ไทสัน และ อาลี ต่างมีเรื่องราวซ่อนอยู่ แถมยังเป็นเรื่องราวระดับตำนานของวงการมวยโลก ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองเคารพนับถือกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
อะไรที่ทำให้ 2 นักมวยที่ขึ้นชื่อเรื่องปากดี (และปากเสีย) ไม่กล่าวล่วงเกินกัน และนับถือกันดั่งพี่ชายน้องชายได้
ติดตามเรื่องราวของ 2 ตำนาน และสัญญาการล้างแค้นของลูกผู้ชายได้ที่นี่
ไทม์ไลน์ความต่างของคำถามโลกแตก
มีคำถาม 1 คำถามที่เป็นคำถามอมตะตลอดกาลในวงการมวยโลก นั่นคือหาก ไมค์ ไทสัน ราชาเฮฟวี่เวตผู้ชนะด้วยการน็อคเอาต์ราวกับเป็นของง่าย เกิดทันรุ่นและพีกพร้อมๆ กับ มูฮัมหมัด อาลี แชมป์มหาชนเจ้าของสโลแกน "พริ้วเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง" มาเจอกันใครจะชนะ?
Photo : www.fightsrec.com
เรื่องนี้สร้างความสงสัยมานานนับตั้งแต่ยุค 80's ที่ ไทสัน ก้าวขึ้นมาสร้างชื่อบนสังเวียนผืนผ้าใบ โดยไฟต์แรกอย่างเป็นทางการของ ไทสัน คือในปี 1985 กับ เฮ็คเตอร์ เมอร์เซเดส ที่เขาสามารถชนะน็อคได้ตั้งแต่ยกแรก หลังจากนั้น ไทสัน น็อคคู่แข่ง 21 ไฟต์ติดต่อกัน แต่มันน่าเสียดายตรงที่เขาไม่มีโอกาสได้ประมือกับ อาลี แม้แต่ครั้งเดียว เพราะ อาลี สั่งลาวงการไปตั้งแต่ปี 1981 ด้วยการชกกับ เทรเวอร์ เบอร์บิก ที่บาฮามาส และครั้งนั้น จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอาลี
อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งคู่อยู่ในจุดพีกของยุคตัวเอง ไม่มีนักชกคนไหนที่จะเอาพวกเขาลงได้ง่ายๆ และหมัดของทั้งคู่ก็พร้อมจะน็อคเอาต์ในทุกวินาที
ดังนั้นคำถามนี้มีคำตอบในเชิงคาดเดามากมาย แต่ไม่มีวันหรอกที่ใครจะได้รู้คำตอบที่แท้จริงแบบที่ไม่มีใครเถียงได้ #ทีมไทสัน ก็จะบอกว่า ไอออน ไมค์ ถือเป็นนักชกที่เร็วและทรงพลังที่สุดตลอดกาล ขณะที่ #ทีมอาลี ก็จะบอกว่า มูฮัมหมัด อาลี คือนักชกที่ครบเครื่องที่สุดทั้งความเร็ว, ความหนักแน่น และ ไหวพริบอันเฉียบแหลม นั่นจึงทำให้เสียงของเซียนมวยแตก
มาร์คัส สมิธ นักเขียนเกี่ยวกับวงการมวยของ Bleacher Report ให้ความเห็นว่า "ไทสัน เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในเรื่องทางกายภาพของเขา ไทสัน ดีกว่า อาลี ในแง่ของพลังและความเร็วในการโจมตี เขาอาจจะน็อค อาลี ได้ในเพียงไม่กี่วินาทีหากโชคดีพอ"
"แต่ อาลี เป็นนักสู้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่า เขาคือเซียน 6 วิธี นั่นคือ สไตล์, ความเร็ว, หัวจิตหัวใจ, สปิริต, ความอึด และ จิตวิทยา ดังนั้นผมต้องขออภัยกับแฟนๆ ของ ไทสัน ด้วย แต่ผมว่า อาลี จะเป็นฝ่ายชนะ" สมิธ เขียนในบทความ Mike Tyson vs. Muhammad Ali: An In-Depth Analysis of Who Would Really Win
Photo : time.com
อย่างไรก็ตาม สมิธ ยังทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ไทสัน มีโอกาสเป็นผู้ชนะในไฟต์นี้ได้ หากเขาสามารถเข้าฟอร์มได้ตั้งแต่ยกแรกๆ เพราะ ไทสัน เป็นมวยทรงพลังปิดฉากได้รุนแรงและรวดเร็ว ... เพียงแต่การวิเคราะห์ของเขามองว่า หาก ไทสัน ทำไม่ได้ในยกแรกๆ อาลี ที่มีความอึดและคางที่แข็งกว่าจะสามารถเล่นเกมยาวได้ดีกว่า ไทสัน และเป็นผู้ชนะไปนั่นเอง ... เรียกได้ว่าแม้แต่เซียนมวยของอเมริกัน ยังฟันธงกันแบบออกตัวเลยทีเดียวสำหรับไฟต์นี้
คุณคิดว่าคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่บอกว่า อาลี จะเป็นฝ่ายชนะ จะทำให้ ไทสัน หัวเสียกับเรื่องนี้หรือไม่? เพราะเดิมที ไทสัน เป็นพวกแทรชทอล์ค สกิลฝีปากร้อนแรงเด็ดขาด ในตอนที่เขาเป็นนักชกแชมป์โลก เขาไม่เคยบอกว่ามีใครที่ดีกว่าเขาอีก แม้กระทั่ง อาลี ในช่วงที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไทสัน ที่แขวนนวมมานานนม และหันมาเอาดีด้านวงการบันเทิงและการปลูกกัญชาขายแบบถูกกฎหมาย ก็ได้ออกมายอมรับว่าจริงๆ มีแค่ อาลี คนเดียวที่เขาคิดว่าเป็นนักมวยที่เขาไม่มีวันชนะได้
Photo : yahoo.com
"ผมจะบอกให้ ไม่มีใครเหมือน มูฮัมหมัด อาลี แม้แต่คนเดียวในโลกของหมัดมวย ทุกสิ่งที่เรา (หมายถึงนักมวยทุกคนบนโลกนี้) มี อาลี ก็มีเหมือนกัน เผลอๆ จะมากกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นผมบอกตรงๆ ว่า ผมไม่สามารถเอาชนะชายคนนั้นได้แน่นอน ดังนั้นได้โปรดอย่าถามคำถามแบบนี้กับผมอีกเลย" ไทสัน ให้สัมภาษณ์กับรายการ This is 50
แม้หลายคนจะเสียงแตก แต่เสียงส่วนใหญ่บอกว่า อาลี จะเป็นฝ่ายชนะ แม้กระทั่งตัวของ ไทสัน เอง ... ทว่าคำถามนี้มันเป็นคำถามโลกแตก ก็เพราะว่าย้อนไปเมื่อ มูฮัมหมัด อาลี ยังมีชีวิตอยู่และเพิ่งแขวนนวมใหม่ๆ ซึ่งเป็นช่วงกับที่ ไทสัน ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลกพอดี เคยมีคนถามคำถามนี้กับเขา ซึ่ง อาลี ก็ตอบกลับแบบสวนทางว่า ...
"ผมเป็นนักเต้น (หมายถึงนักมวยที่เน้นการป้องกันด้วยการหลบหลีก) ผมไม่ได้ทรงพลังแบบ ไมค์ ไทสัน แต่ผมก็มีความเร็วมาลบจุดนั้น แต่ถ้าเขาต่อยผมโดนก่อนผมก็จบเห่เลยเหมือนกัน" อาลี ว่าไว้ในปี 1990
เมื่อคุณถาม อาลี ... เขาจะตอบว่า ไทสัน เป็นฝ่ายชนะ และเมื่อคุณถาม ไทสัน ... เขาก็จะบอกว่า อาลี เป็นฝ่ายชนะ
นี่คือเรื่องที่มีไม่บ่อยนักของนักสู้ปากตะไกรที่ไม่เคยยอมใครในเรื่องวาจา ฝีปากของทั้งคู่เฉียบแหลมยากเกินกว่าจะเอ่ยตรงๆ ว่า "ผมสู้คนนี้ไม่ได้" แต่ทำไมทั้งคู่จึงต้องยกย่องกันขนาดนั้นล่ะ?
ทำไม ไทสัน จึงไม่กล้ากล่าวล่วง อาลี?
เรื่องนี้มันมีเหตุผล ไทสัน อาจจะด่าและดูถูกคู่ชกทุกคนที่เขาเคยปะทะด้วย แต่ไม่ใช่กับ มูฮัมหมัด อาลี ด้วยเหตุผลง่ายๆ นั่นก็คือ อาลี คือนักชกต้นแบบและเป็นไอดอลของเขาตั้งแต่ยังเด็ก
Photo : www.thefightcity.com
ไทสัน นั้นถูก กัส ดามาโต้ ครูมวยเชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกัน จับมาฝึกชกมวยหลังจากมีชีวิตวัยเด็กที่แหลกเหลว ในช่วงที่เริ่มต้นของการฝึก กัส มักจะเอาวีดีโอการชกของ อาลี ให้ไทสัน ดูเป็นแบบอย่างเป็นประจำ และทุกท่วงท่าที่สวยงามของ "แบล็ค ซูเปอร์แมน" ยังตราตรึงในใจของ ไทสัน จนทุกวันนี้
ความคลั่งไคล้ในตัวของ อาลี สำหรับ ไทสัน นั้น เกินกว่าจะเรียกว่าแฟนคลับธรรมดา เขาคือสาวกที่บูชา อาลี ทุกๆ เรื่องทั้งบนสังเวียนและนอกสังเวียน ถ้าไม่มี อาลี ไปเสียคน ไทสัน อาจจะไม่ได้เป็นนักชกก็ได้ ...
"ผมไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นแฟนหมัดมวย แต่ผมชอบมวยปล้ำต่างหาก มีนักปล้ำอย่าง บรูโน่ ซามมาร์ติโน่ และ คิลเลอร์ โควอลสกี้ เป็นไอดอล จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ชมหนังชีวประวัติของ มูฮัมหมัด อาลี ในสถานพินิจ ... และเมื่อนั้นผมได้รับชมอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อหนังจบ แสงสว่างได้ปรากฎต่อหน้าผม และจากนั้น อาลี ก็ปรากฎตัวเดินส่ายอาดขึ้นสังเวียน ก่อนจะระเบิดที่นั่นด้วยพลังของเขาจนทุกอย่างกระจุยกระจาย" ไทสัน เล่าเรื่องย้อนไปในปี 1977 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุแค่ 12 ปี เท่านั้น
Photo : www.otempo.com.br
"อาลี บอกกับพวกเราทุกคนเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เขาติดคุก (จากคดีหนีทหาร) และช่วงเวลาที่เขาสับสนทางความคิด เขาเล่ามันในแง่ของสิ่งที่สวยงามและเป็นแรงบันดาลใจ คำพูดเหล่านั้นของ อาลี นั่นแหละที่เป็นสิ่งซึ่งเปลี่ยนเกมของผมไปเลย ... ผมรู้เลยว่าผมไม่ได้อยากเป็นแค่นักมวยเท่านั้น แต่ผมอยากจะเป็นแชมป์โลกและเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงอย่างเขาเท่านั้นเอง"
กัส ดามาโต้ เองก็เป็นคนที่ชอบตัวตนของ อาลี ไม่แพ้กับ ไทสัน ดังนั้นเมื่อ กัส ได้ที่เป็นครูฝึกของ ไทสัน ได้เล่าเรื่องวันเก่าๆ ของ อาลี รวมถึงการใช้ อาลี เป็นต้นแบบให้ ไทสัน จึงทำให้หลายสิ่งหลอมรวมกัน ทำให้ภาพของ มูฮัมหมัด อาลี ไม่ใช่แค่นักมวย แต่เป็น "ผู้ทรงอิทธิพล" ในการใช้ชีวิตของ ไทสัน อย่างแท้จริง
ล้างแค้นให้ไอดอล
เมื่อตั้งธงจะเป็นแชมป์โลกแล้ว ไทสัน ก็ลุยเต็มที่โดยมี กัส คอยชี้ทางที่ถูกต้อง ครั้งหนึ่งในปี 1980 ตอนนั้น ไมค์ ไทสัน อายุได้ 14 ปี กัส ได้พาเขาไปชมมวยไฟต์สำคัญ มันเป็นศึกรุ่นเฮฟวี่เวตระหว่าง มูฮัมหมัด อาลี กับ แลร์รี่ โฮล์มส์
Photo : www.mcall.com
ณ เวลานั้น อาลี อยู่ในสภาพที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ความเร็วหดหาย และยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพด้วย เรียกได้ว่าเป็นช่วงบั้นปลายชีวิตนักมวยแล้ว แต่ไทสันก็ยังตื่นเต้นที่ได้ดูไอดอลของตัวเองขึ้นชก เขาหวังว่า อาลี จะเดินหน้าถล่ม โฮล์มส์ แบบที่เขาเคยดูในวีดีโอ ทว่ากาลเวลาได้พรากอาลีคนเดิมไปแล้ว
แลร์รี่ โฮล์มส์ ไล่กระหน่ำ อาลี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ อาลี จะไม่โดนน็อค แต่ก็เรียกได้ว่าสภาพของเขาร่อแร่หมดราคาแชมป์มหาชนในไฟต์ดังกล่าว จนถึงขั้นที่ว่า แอนเจโล่ ดันดี เทนเนอร์ของเขาต้องบอกกรรมการให้ยุติการชกหลังหมดยกที่ 10 เพราะกลัว อาลี จะเละ และได้รับผลกระทบไปถึงเรื่องสุขภาพยิ่งกว่านี้
ภาพนั้นคือภาพจำของ ไทสัน ... ไอดอลของเขาโดนยำเละเทะ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสื่อมศรัทธาในตัวอาลี ทว่ามันกลับทำให้เขาจุดไฟในตัวครั้งสำคัญขึ้นมาต่างหาก ... เขาอยากจะชนะ โฮล์มส์ เพื่อแก้แค้นให้ อาลี ให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ ไทสัน กลับไปฝึกตัวเองอย่างหนักหน่วง
"กัส เป็นคนที่อยากเห็นผมคว่ำ แลร์รี่ โฮล์มส์ แบบโคตรๆ เลย ผมเองก็รู้สึกไม่พอใจที่เขาไล่ทุบ อาลี แบบนั้น ผมจำบรรยากาศวันนั้นได้ พวกเรานั่งรถกลับบ้านกันแต่ไม่มีใครพูดกันเลย ทุกคนหัวเสียกับความพ่ายแพ้ของ อาลี ... โดยเฉพาะ กัส เพราะในเช้าต่อมาเขาถึงขั้นต่อสายไปหา อาลี ด้วยตัวเองเลย" ไทสัน เล่าย้อนความ
"อาลี ผมมีเด็กผิวดำ (Black Kid) คนที่จะกลายเป็นแชมป์เฮฟวี่เวตในอนาคต และผมอยากให้คุณช่วยพูดอะไรกับเขาหน่อย" กัส โทรหา อาลี ด้วยบทสนทนาดังกล่าวจากการยืนยันของ ไทสัน
น่าเสียดายที่ ไทสัน ไม่ได้บอกว่า อาลี คุยอะไรกับตัวของเขาในวัย 14 ปี บ้าง ... แต่อย่างน้อย ไทสัน ก็ยังเปิดเผยสิ่งที่เขาพูดกับ อาลี ในวันนั้น ซึ่งเป็นบทสนทนาที่ดูเหมือนจะเพ้อพกแต่กลับทรงพลังเมื่อเวลาผ่านไป
"เมื่อผมโตขึ้น ผมจะชกกับ แลร์รี่ โฮล์มส์ และผมจะลากหัวของเขากลับมาให้คุณ" ไทสัน กล่าว
และเผื่อใครยังไม่รู้ว่าหลังจากนั้น ไมค์ ไทสัน เติบโตในวงการมวยได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ เขาเทิร์นโปรเป็นนักชกอาชีพในอีก 4 ปีหลังจากที่ให้สัญญากับ อาลี และเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวต ในอีก 2 ปีต่อมา ด้วยวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น ... ณ ช่วงเวลาดังกล่าว ไทสัน กลายเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเขาเป็นแชมป์ ทุกอย่างมันก็เข้าทาง ไทสัน ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาคู่ชกอีกแล้ว มีแต่นักมวยคนอื่นที่ต้องเข้ามาท้าชิงกับเขา ซึ่งที่สุดแล้ว คิวของ แลร์รี่ โฮล์มส์ ก็มาถึงในปี 1988 หรือ 8 ปีจากคำสัญญาของลูกผู้ชาย
Photo : www.frankwarren.com
ในค่ำคืนของการป้องกันแชมป์วันนั้น กัส ดามาโต้ ส่งจดหมายเชิญถึง มูฮัมหมัด อาลี เพื่อมาดูว่าสิ่งที่เขาและไทสันพูดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และทั้งคู่อยากให้ อาลี ได้เห็นมันด้วย 2 ตาของตัวเอง
"ไอ้หนู จำสิ่งที่เอ็งเคยพูดไว้ได้ใช่ไหม? ทีนี้ได้เวลาไปลากคอมันมาให้ฉันแล้ว" อาลี ว่ากับ ไทสัน ก่อนระฆังยกแรกจะดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าไฟต์สัญญาลูกผู้ชายได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
Photo : roundbyroundboxing.com
ในไฟต์นั้นเห็นได้ชัดว่า โฮล์มส์ มีปัญหากับความเร็วและความแข็งแกร่งของ ไทสัน เหมือนกับทุกคนที่ชกกับเขาได้เจอ โฮล์มส์ พยายามจะใช้การกอดเพื่อชะลอให้ ไทสัน ช้าลง แต่จะด้วยสัญญาลูกผู้ชายหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ ไทสัน ในไฟต์นั้นหยุดไม่อยู่แล้ว ไทสัน เดินหน้าส่ง โฮล์มส์ ลงไปนับ 8 ได้ถึง 2 ครั้ง แม้ โฮล์มส์ จะลุกขึ้นมาได้เป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ไม่รอดเงื้อมมือมัจจุราช ไทสัน ส่ง โฮล์มส์ ลงไปกองเป็นหนที่ 3 ในยกเดียว จนกรรมการต้องยุติการชกไปในท้ายที่สุด
ไทสัน ได้ทำตามสัญญาต่อหน้าไอดอลตลอดกาลของเขา ... นี่คือความสวยงามของอาชีพนักชกที่เขาไม่มีวันลืม
ในวันที่ราชาจากไป
ช่วงเวลาหลังจากนั้น ทั้ง ไทสัน และ อาลี ถือว่าเป็นคนที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี เนื่องจากทั้งคู่มีผู้ดูแลผลประโยชน์คนเดียวกันนั่นคือ ดอน คิง และโปรโมเตอร์หัวฟูก็มักจะจัดงานให้ทั้ง 2 ได้ออกงานร่วมกันเสมอๆ เรียกได้ว่าจากคนที่เคารพกัน ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนในชีวิตจริงกันไปแล้ว
Photo : www.nytimes.com
อย่างไรก็ตามทุกการพบย่อมมีวันลาจาก ในปี 2016 อาลี ในวัย 74 ปี เสียชีวิตโดยโรคระบบทางเดินหายใจ รวมถึงโรคพาร์คินสัน ที่ว่ากันว่าเกิดจากการโดนชกมานักต่อนัก มากถึงราว 200,000 หมัดในช่วงที่ยังเป็นนักมวยอีกด้วย
ในวันจัดพิธีศพของ อาลี ที่มีขึ้นใน หลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ ไทสัน ก็ได้มาแสดงความอาลัยในงานดังกล่าว และบอกเล่าช่วงเวลาดีๆ ที่ทั้งคู่มีให้กันและกันมากมาย ไม่ว่าจะตอนที่ ไทสัน ยังเป็นนักชกอยู่ หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาแขวนนวมและต้องสู้ชีวิตที่ตกอับอยู่พักใหญ่ก็ตาม
ไทสัน ได้พูดถึงความสุดยอดของ อาลี ในมุมมองของเขาว่า "เป็นนักมวยในแบบที่ไม่มีใครทำซ้ำได้" โดย ไทสัน บอกว่า อาลี คือแชมป์ตัวจริง โดยมีการเปรียบเทียบกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ นักชกไร้พ่ายที่อ้างตัวเองว่าเป็น GOAT หรือ "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของวงการมวย" อีกด้วย
"มีนักสู้ยิ่งใหญ่หลายคนในตอนนี้ แต่ในแง่ของคาแร็คเตอร์นั้นเปลี่ยนไป ไม่มีใครชอบไฟต์เสี่ยงๆ ชกกับคนที่อาจจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บเพื่อแลกกับความตื่นเต้น ซึ่งก็ไม่ผิดนักหรอก เพราะมันเป็นเส้นทางที่ทำให้คุณสามารถทำเงินได้มากมาย ยกตัวอย่างไฟต์อย่างระหว่าง ฟลอยด์ กับ แมนนี่ ปาเกียว ผมมองว่าเป็นการชกที่ไม่ดีเลย ผมว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนดูอยากจะเห็น ฟลอยด์ เป็นนักชกที่ดีนะ ปาเกียว ก็ด้วย ทั้งคู่คือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่การชกกันของพวกเขาไม่สามารถเรียกกันว่าไฟต์ที่ยิ่งใหญ่ได้หรอก" ไทสัน กล่าวโดยเปรียบกับยุคที่ อาลี ครองยุทธภพ
"อาลี คือยอดนักสู้ผู้ไร้ซึ่งกาลเวลา เขาคือแชมป์ตัวจริง คนที่พร้อมจะชกกับนักมวยทุกคน เขาคือมนุษย์ที่น่าทึ่ง ผมไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ผมรู้สึกยินดีเวลามีคนเปรียบเทียบผมกับเขา แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่าผมไม่ได้คู่ควรขนาดนั้น มูฮัมหมัด อาลี คือตำนาน ส่วนผมเป็นแค่เด็กข้างถนนเท่านั้นเอง"
Photo : www.antena3.com
นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ หลังจากการจากไปของ อาลี ผู้สัมภาษณ์ได้ถาม ไทสัน ว่า เคยมีความคิดหรือเปล่าว่าโตไปอยากจะชนะ มูฮัมหมัด อาลี ให้ได้? ซึ่ง ไทสัน ได้แต่เพียงบอกว่าตัวของเขาไม่กล้าตอบคำถามนี้ ... คำกล่าวนั้นมันมาพร้อมๆ กับน้ำตา
"ผมไม่สามารถพูดได้เลย ผมขอโทษนะ ผมสะเทือนใจเกินไปที่จะตอบมัน การจะพูดถึง อาลี นั้นเป็นเรื่องที่ควรจะต้องพูดถึงแบบจริงจัง ผมบอกได้แค่ไม่มีใครเป็นแบบเขาได้หรอก"
นี่คือเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของนักมวย 2 คนที่ไม่เคยชกกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ยุคของทั้งคู่เป็นช่วงที่มีเวลาใกล้กันมาก จะเรียกได้ว่า อาลี ได้มอบไม้ผลัดของแชมป์โลกให้ ไทสัน ก็คงจะไม่ผิดนัก ... คนเราต่อให้จะปากสว่างจนคนทั้งโลกมองว่า "ผีเจาะปากมาพูด" แต่ทุกคนล้วนมีบุคคลที่ตัวเองไม่กล้ากล่าวจาบจ้วงไม่ว่าจะทางใดก็ตาม มันเป็นเพราะมิตรภาพ, ความรัก และความเคารพ
และคนๆ นั้นสำหรับ ไมค์ ไทสัน ก็คือ มูฮัมหมัด อาลี ... "แชมป์โลกขวัญใจมหาชนตลอดกาล" คือฉายาที่เหมาะกับตำนานผู้จากไปอย่างที่สุดแล้ว