พี่ใหญ่ตลอดกาล : เจาะคาแร็คเตอร์ "ซลาตัน" ที่ไม่ว่าอยู่ไหนก็ไม่ยอมเป็นเบอร์ 2
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คือหนึ่งในผู้เล่นฝีเท้าเยี่ยมคนหนึ่งของโลก เขาผ่านการค้าแข้งกับหลายทีมดังทั้ง ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และร่วมคว้าแชมป์กับทีมเหล่านั้นมากมาย
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากเกียรติประวัติ สิ่งที่น่าสนคือ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่นักเตะที่อยู่กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งนานเกิน 5 ปี แต่ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ทีมไหน เขาจะเป็นนักเตะที่ทรงอิทธิพลของทีมที่ไปอยู่ด้วยเสมอ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand
มั่นใจในตัวเอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีบุคลิกที่ชัดเจนคนหนึ่งของโลก เขาเป็นผู้เล่นที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจในตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เพิ่งมาเป็นตอนที่เขาดัง แต่มันติดตัวมาตั้งวัยละอ่อน
Photo : www.fijen.se
นั่นเป็นเพราะ ซลาตัน เป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่วัยรุ่น จากพรสวรรค์ที่โดดเด่น จนเบียดขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของทีม มัลโม ตั้งแต่อายุ 18 ปีเมื่อปี 1999 และกลายเป็นแข้งที่น่าจับตามองของประเทศมาตั้งตอนนั้น
"ฮาสเซ บอร์ก (ผู้อำนวยการกีฬามัลโม) โทรหาผมและบอกให้มาที่สนามซ้อมทันที เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันวิเศษมาก" รูน สมิธ นักข่าวที่เคยเห็นฝีเท้าของซลาตันตั้งแต่วัยรุ่นกล่าวกับ Bleacher Report
"เขามหัศจรรย์มาก เขาโดดเด่นในสนามซ้อม ผู้เล่นที่แก่กว่าเขาทุกคนต่างหัวเสียเพราะไม่มีใครแย่งบอลจากเขาได้"
"ผมเคยเรียกเขาว่า ฮัลค์ เพราะแม้ว่าเขาจะสูง 192 เซนติเมตร แต่เขามีเทคนิค อย่างข้อเท้าที่ไวและเทคนิค ด้วยขนาดเท่านี้มันเป็นไปไม่ได้"
และเหมือนว่าชะตาจะลิขิตให้ซลาตันมาเป็นดาวเด่นของทีม เมื่อในฤดูกาลที่สองในชีวิตนักเตะอาชีพของเขา มัลโม มีอันต้องร่วงตกชั้นลงไปเล่นในลีกระดับสองเป็นครั้งแรกในรอบ 64 ปี แม้จะเจ็บปวด แต่ในอีกมุมหนึ่งก็กลายเป็นสถานการณ์ให้สโมสรต้องการพระเอกขี่ม้าขาว
มันเป็นช่วงเวลาที่พอดีสำหรับ ซลาตัน เพราะการตกชั้นทำให้เขาได้เจอคู่แข่งที่อ่อนกว่า และกลายเป็นหนึ่งปีที่ทำให้เขาได้ขัดเกลาฝีเท้า เขาอาจจะยิงประตูไม่ได้มากมาย แต่ผลงานในสนามและสไตล์การเล่นที่น่าตื่นตาต่างหากที่ทำให้คนทั้งเมืองคลั่งไคล้เขา
Photo : @OldDaysFootball
"มันเป็นตอนที่เขามาที่มัลโม คุณจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับซลาตันคนนี้ ที่ถูกพูดถึงในฐานะผู้เล่นที่มีเทคนิค ผู้เล่นควรค่าที่จะจับตามอง อีกทั้งเต็มไปด้วยความทะนงตัวและหยิ่งยโส" ดาเนียล คริสตอฟเฟอร์สัน นักข่าวของ Expressen หนังสือพิมพ์ชั้นนำของสวีเดน กล่าว
การได้รับการเชิดชูจากคนทั้งเมืองตั้งแต่วัยรุ่น สั่งสมให้เขาที่เชื่อมั่นในฝีเท้าตัวเองอยู่แล้ว รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น แม้แต่ตอนที่ย้ายออกจาก มัลโม จนครั้งหนึ่งเคยปฏิเสธที่จะย้ายไปเล่นให้ อาร์เซนอล หลังสโมสรอยากให้เขาเข้ารับการทดสอบฝีเท้าเสียก่อน
"ผมไปลอนดอนเพื่อนัดเจอกับ อาร์เซน เวนเกอร์ ที่ขอให้ผมมาทดสอบฝีเท้ากับกันเนอร์ส ผมบอกเขาไปว่า ผมไม่ทดสอบฝีเท้า ไม่ว่าคุณจะพาผมไปหรือไม่ ผมไม่ไปที่นั่นให้เสียเวลาหรอก" อิบราฮิโมวิช ย้อนความหลังกับ Sky Sport Italia
"ผมมีความมั่นในในตัวเอง ผมคิดว่าผมคือคนที่เก่งที่สุดแม้ว่าผมจะอายุน้อย ผมเจอเวนเกอร์เพราะคาดหวังให้เขาบอกผมว่าให้เริ่มงานกับพวกเขาเลย อิบราจะไม่เข้ารับการทดสอบ"
"ตอนที่ผมยังเด็ก ผมคิดว่าไม่มีใครเก่งกว่าผม ผมเคยดู โรนัลโด้ โรมาริโอ และ (โรแบร์โต) บาจโจ้ ในทีวี และผมก็มีเป้าหมายนึง คืออยากจะแสดงให้เห็นถึงความสุดยอดของผม"
ในขณะเดียวกันความมั่นใจยังทำให้เขากล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำในสนาม ที่หลายประตูที่เกิดขึ้นจากปลายสตั๊ดกลายเป็นประตูแห่งความทรงจำ รวมไปถึงประตูในตำนานที่เกิดขึ้นในเกมที่ อาแจ็กซ์ พบกับ NAC เบรดา
แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
เรียกข้าว่าพระเจ้า
"แน่นอนว่าฟุตบอลโลกที่ไม่มีผม มันไม่น่าดูหรอก" อิบราฮิโมวิช ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian หลังทีมชาติสวีเดนตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014
Photo : www.footballtop.com
บ่อยครั้งที่ ซลาตัน มักให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำที่ดูโอ้อวด ซึ่งหากเป็นคนอื่นอาจจะโดนวิจารณ์จนจมดิน แต่สำหรับเขามันต่างออกไป เมื่อสิ่งที่พูดออกมาแม้จะดูคุยโวแค่ไหน แต่เขาก็ใช้ฝีเท้าพิสูจน์มันได้เสมอ
ในสมัยที่เขาเพิ่งจะเริ่มสร้างชื่อกับ มัลโม ซลาตัน เคยให้สัมภาษณ์ก่อนเปิดฤดูกาลในปี 2000 ว่า ทีมของเขาจะคว้าแชมป์ และภายใน 3 ปีต่อจากนี้ เขาจะย้ายไปเล่นให้ อินเตอร์ มิลาน
มันอาจจะไม่ได้ตรงกับคำทำนายพอดี แต่มันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาพูดมากนัก เมื่อในฤดูกาลนั้น มัลโม ได้เลื่อนชั้นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ และอีก 4 ปีต่อมา เขาได้ย้ายไปร่วมทีม อินเตอร์ สมใจ แต่ที่มากกว่านั้น เขายังได้ค้าแข้งกับหลายทีมดัง ทั้ง ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน และร่วมคว้าแชมป์กับพวกเขาโดยเฉพาะแชมป์ลีกที่คว้ามาได้ถึง 6 สมัยจาก 3 สโมสร
หรือในวันที่เขามีชื่อเสียงแล้ว ตอนที่เขาย้ายจาก เอซี มิลาน ไปร่วมทัพ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เมื่อปี 2012 เขาทักทายแฟนบอลลีกเอิงด้วยการบอกว่า เขาอาจจะไม่รู้จักลีกแห่งนี้ แต่จะทำให้ลีกแห่งนี้รู้จักเขาเอง
Photo : www.mirror.co.uk
"ผมไม่ค่อยรู้เรื่องลีกเอิงและผู้เล่นของพวกเขาเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวผู้คนเขาก็จะรู้จักผมเอง" ซลาตัน กล่าว
แม้จะเป็นคำทักทายที่ดูน่าหมั่นไส้ แต่สุดท้าย ซลาตัน ก็ใช้ผลงานเป็นข้อพิสูจน์ เมื่อตลอด 4 ฤดูกาลในแดนน้ำหอม ดาวยิงชาวสวีดิช ซัลโวตาข่ายคู่แข่งเป็นว่าเล่น ด้วยการซัดไปถึง 156 ประตูจาก 180 นัด พร้อมพาเปเอสเช คว้าแชมป์ลีก 4 สมัย ฟุตบอลถ้วยอีก 8 สมัย
ในขณะที่ตัวเขาเองยังสามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวลีกเอิงได้ถึง 3 ครั้งในฤดูกาล 2012–13, 2013–14, 2015–16 และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกอีก 3 สมัยในปีเดียวกัน รวมถึงไปติดทีมยอดเยี่ยมทุกฤดูกาลที่ค้าแข้งอยู่ที่นั่น
เขายังเป็นนักเตะไม่กี่คนที่กล้าต่อกรกับ เอริค คันโตนา ตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไม่เกรงกลัว เมื่อตอบ "คิง ก็องโต้" ตอนที่ย้ายไปร่วมทีมปีศาจแดงเมื่อปี 2016 ไปว่า เขาไม่ได้อยากเป็นเจ้าชาย แต่อยากเป็นพระเจ้าของที่นี่ หลังคันโตนา กล่าวติดตลกว่า จะไม่ยอมยกตำแหน่งราชาให้
Photo : www.essentiallysports.com
"ผมไม่ได้อยากเป็นราชาของแมนเชสเตอร์ ผมจะเป็นพระเจ้าของที่นั่นมากกว่า" อดีตดาวยิงชาวสวีเดนตอบก็องโต้
และก็เป็นอีกครั้งที่ ซลาตัน พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้แค่คุยโว เมื่อเขากลายมาเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของปีศาจแดง แม้จะมีอายุอานามถึง 35 ปีแล้ว เขายิงไปถึง 29 ประตูจาก 53 นัดในทุกรายการ ช่วยให้ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ ลีกคัพ และ ยูโรปาลีก ในฤดูกาล 2016–17
นอกจากนี้ เขายังเป็นนักเตะคนที่ 3 ของพรีเมียร์ลีก ที่ยิง 14 ประตูภายใน 20 เกมต่อจาก อลัน เชียเรอร์ และ เซอร์คิโอ อเกวโร แถมยังเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ยิงได้เกิน 15 ประตูในหนึ่งฤดูกาล ด้วยวัย 35 ปีกับ 125 วัน
และแม้จะอยู่ในช่วงปลายของอาชีพ แต่ซลาตัน ก็ยังสามารถจารึกชื่อใน เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ของสหรัฐอเมริกา ด้วยการซัดไปถึง 52 ประตูจาก 56 นัด ในสีเสื้อของ แอลเอ กาแล็คซี
"ผมคิดว่าผมเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ MLS ตั้งแต่เคยมีมา นี่ไม่ใช่การล้อเล่นนะ" ซลาตันกล่าวหลังทำแฮตทริคช่วยให้ทีมเอาชนะ สปอร์ติง แคนซัสซิตี้ 7-2 เมื่อเดือนกันยายน 2019
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทำสถิติกลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลของ MLS หลังพังตาข่ายคู่แข่งไปทั้งสิ้น 30 ประตูเมื่อฤดูกาล 2019 ก่อนจะฝากมรดกเอาไว้ แล้วอำลาทีมย้ายกลับมาเล่นให้กับ มิลาน อีกครั้งในฤดูกาลนี้
Photo : 17julysport.blogspot.com
"ผมมา ผมเห็น ผมพิชิต ขอบคุณ แอลเอ แกแล็คซี ที่ทำให้ผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง" ซลาตันกล่าวผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวในวันอำลาทีม
"ถึงแฟนบอลแกแล็คซี คุณต้องการซลาตัน ผมมอบซลาตันให้คุณแล้ว ด้วยความยินดี เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป ตอนนี้กลับไปดูเบสบอลกันได้แล้ว"
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ว่าคำพูดของซลาตัน จะดูคุยโวโอ้อวด แต่เขาก็สามารถบันดาลให้มันเป็นจริงได้ตามที่เขาต้องการเหมือนกับฉายาที่เรียกตัวเองว่า "พระเจ้า"
มันคือความเป็นคน "พูดจริงทำจริง" ของดาวยิงชาวสวีดิช ที่ทำให้เขาได้รับความเคารพจากผู้เล่นไปว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน
แต่ตัวตนของซลาตันไม่ได้มีแค่นี้
โนสนโนแคร์
นอกจากเรื่องฝีเท้า บุคลิกหนึ่งที่ทำให้ซลาตัน มีชื่อเสียงคือความเป็นคนเปิดเผยและทะนงตัว เขามักจะตอบคำถามสื่อโดยไม่แคร์อะไร แม้มุมหนึ่งจะมีคนชอบ แต่ในอีกมุมหนึ่งเขามักจะตกเป็นเป้าโจมตีอยู่เสมอ
Photo : www.france24.com
ความเป็นคนกล้าพูดของเขา มักจะทำให้เขาถูกวิจารณ์อยู่เสมอในความ "ไม่เป็นสวีเดน" เนื่องจากแม้ว่า ซลาตัน จะเกิดที่มัลโม แต่เขาก็เป็นลูกที่เกิดจากผู้อพยพ โดยพ่อเป็นชาวบอสเนียและแม่เป็นชาวโครเอเชีย
บวกกับการเติบโตขึ้นมาในเมืองโรเซนการ์ด ซึ่งเป็นเมืองที่มีผู้อพยพต่างชาติ อาศัยอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่งของสวีเดน และมีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เขาถูกแปะป้ายว่าเป็นคนไม่ดีในสายตาคนเมืองอื่น
นอกจากนี้ความทะเยอทะยานของเขายังขัดกับปรากฎการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า Law of Jante ซึ่งเป็นกฏที่เขียนโดย Aksel Sandemose นักเขียนชาวนอร์เวย์ที่เขียนไว้ในหนังสือที่ชื่อว่า A Fugitive Crosses His Tracks เมื่อปี 1933
มันเป็นบทบัญญัติ มันคือกฎ 10 ประการที่เขียนว่า คุณต้องไม่คิดว่าคุณต้องพิเศษกว่าคนอื่น, คุณต้องไม่คิดว่าคุณดีกว่าคนอื่น คุณต้องไม่คิดว่าคุณฉลาดกว่าคนอื่น ลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการกำหนดภาพลักษณ์ที่ดีของความเป็นมนุษย์ และกลายเป็นสิ่งที่ชาวสแกนดิเนเวียยึดถือ
และนั่นเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ได้รับการยอมรับจากชาวสวีเดนในยุคก่อน
"ผู้คนรู้สึกว่า เขาไม่ควรมาที่นี่และบอกว่าเขาดีอย่างนู้นอย่างนี้" คริสตอฟเฟอร์สสัน กล่าวกับ Bleacher Report
"นั่นก็เพราะเขายังเป็นแค่ดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ และดูเหมือนจะมีอนาคตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าจะเป็นแบบนั้นเสียหน่อย"
แต่ใช่ว่าซลาตันจะสนใจ เขาไม่ได้แคร์กับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันเขาไม่เพียงแต่ไม่ทำตาม Law of Jante แต่ดูเหมือนจะต่อต้านมัน เพราะในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัว I am Zlatan เขายังได้บัญญัติกฎของซลาตัน ในนัยยะที่พาดพิงถึง Law of Jante อีกด้วย
Photo : www.bt.dk
"สิ่งที่ผมเป็นคือผมสามารถพูดและทำได้ ไม่ได้แค่คิด ผมจึงเป็นคนที่ดีเก่งที่สุด แล้วมึงคือใครวะ? แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดแบบไร้เดียงสา แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่พูดหรือแสดงอะไรที่ไร้สาระออกมาเหมือนกับพวกดาวดังของสวีเดน" ซลาตันเขียนไว้ในหนังสือ I Am Zlatan
"ผมอยากจะเป็นคนที่เก่งที่สุดและเย่อหยิ่งไปด้วย ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าผมเป็นซูเปอร์สตาร์หรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ พระเจ้าผมมาจากโรเซนการ์ด"
นั่นทำให้แม้ว่าเขาจะดูเป็นปรปักษ์กับคนรุ่นก่อน แต่ซลาตันก็กลายเป็นไอดอลสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่มีภูมิหลังเป็นเป็นผู้ลี้ภัยจากต่างประเทศ เขายังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนเหล่านี้ในความฝันที่จะก้าวขึ้นไปติดทีมชาติสวีเดน
"ผมเป็นตัวแทนของสวีเดนใหม่ ผมทำให้สวีเดนอยู่บนแผนที่ มันไม่ใช่ความจองหอง ทั้งหมดคือความเป็นจริง" ซลาตันเคยกล่าวเอาไว้
"ซลาตันยืนหยัดในความเป็นสวีเดนใหม่" โจฮันนา ฟรานเดน นักข่าวจาก Aftonbladet อธิบายเสริมกับ Eurosport
"มีผู้อพยพหลายรุ่นที่มาก่อนเขา แต่เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีภูมิหลังเป็นผู้อพยพ เขาเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใหญ่ที่เติบโตในสวีเดน คนที่พูดภาษาอื่นมากกว่าภาษาสวีดิชที่บ้าน และคนที่ปัญหาในการหาเอกลักษณ์ของตัวเองกับสวีเดน ก่อนซลาตันจะบุกเบิก"
"แม้ว่าซลาตันจะเกิดในสวีเดน แต่เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของผู้อพยพในสวีเดน ความสำเร็จ ตัวตนและเสน่ห์ของเขาทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์หลายๆ อย่างในสังคมที่นี่ และสิ่งนี้ก็คือมรดกที่สำคัญที่สุดที่เขาทิ้งเอาไว้"
Photo : sosfanta.calciomercato.com
นอกจากนี้ การมีชื่อเสียงตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาต้องแบกรับคำวิจารณ์จากสื่อ จนกลายมาเป็นภูมิต้านทานในวันที่เขาเติบโต ที่ทำให้เขาโนสนโนแคร์ในทุกอย่าง และยืนหยัดในวิถีทางของตัวเอง
"แม้กระทั่งหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ก็เขียนเรื่องเขามากมาย ทุกคนรู้ว่าเขาคือใคร เขาคือนักเตะมากพรสวรรค์ และคู่แข่งก็ต้องเล่นให้ยากขึ้นกับเขา" นิคลาส คินด์แวลล์ ที่เคยเล่นกับซลาตันที่ มัลโมในฤดูกาลแรก กล่าวกับ Eurosport
"มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่ายสำหรับเขา เมื่อเขาถูกอธิบายว่ากำลังจะเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่เราไม่เคยเห็นมานานในสวีเดน และเขาก็ทำได้สำเร็จในการพิสูจน์มัน"
"มันนำมาซึ่งความกดดันของการต้องใช้ชีวิตอยู่กับชื่อเสียงที่สื่อสร้างขึ้น และผมก็คิดว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดีว่าจิตใจเขาแข็งแกร่งขนาดไหน ผมไม่คิดว่าทุกคนจะรับมือกับความกดดันเช่นนี้ เมื่อคุณไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดี"
ความเป็นซลาตัน จึงเป็นการผสมผสานจะหว่างความมั่นใจในตัวเอง และความแข็งแกร่งในจิตใจ รวมถึงยืนหยัดในวิถีทางของตัวเอง ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดชีวิตในเส้นทางของการค้าแข้ง
พี่ใหญ่ตลอดกาล
ปัจจุบัน ซลาตัน เพิ่งจะย้ายมาร่วมทัพ เอซี มิลาน ยักษ์หลับของอิตาลี คำรบสอง เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาด้วยสัญญาระยะสั้น 6 เดือน และเป็นอีกครั้ง เขากลายมาเป็นผู้นำของทีมทั้งที่เป็นผู้มาใหม่
Photo : en.as.com
การมาถึงของซลาตัน ช่วยยกระดับทีมได้ไม่น้อย เมื่อเขาช่วยให้ทีมคว้าชัยได้ถึง 4 จาก 7 นัด และยิงไปได้ 2 ประตู โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียว จนขนาด ฟาบิโอ คาเปลโล อดีตกุนซือมิลาน ยังออกมาบอกว่าเขาคือนักเตะคนเดียวที่มีบุคลิกที่เหมาะที่จะเล่นให้มิลานในตอนนี้
"เขาเป็นนักเตะคนสำคัญ ในแง่ของทั้งทีม ตอนที่เขาอยู่ที่นั่น กองหลังสองคนต้องจับตามองเขา" คาเปลโลกล่าวกับ Radio Anch'Io Sport
"ผมเห็นความขี้ขลาดอีกครั้งของมิลานที่ซานซิโร แต่พออิบราฮิโมวิชอยู่ที่นั่น เขาทำในสิ่งที่ต่างออกไป"
"แต่มันไม่ใช่ความผิดของปิโอลิ (โค้ชมิลาน) ผู้เล่นออกไปด้วยความกลัว และนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้มีบุคลิกที่จะเล่นให้มิลาน"
Photo : ftw.usatoday.com
นี่คือตัวตนของซลาตัน ชัดเจนว่าเขาอาจจะดูยโสโอหัง กล้าพูดกล้าทำ ที่ทำให้มีคนไม่น้อยที่ไม่ชอบเขา แต่ในอีกมุมหนึ่ง เขาก็มีความพยายามที่จะทำให้ตัวเป็นคนที่เก่งที่สุดอยู่เสมอ และบุคลิกเฉพาะตัวของเช่นนี้ก็จำเป็นสำหรับหลายทีมในการกอบกู้วิกฤติหรือสร้างทีมให้แข็งแกร่งขึ้น
"การมีตัวอย่างของความมุ่งมั่นและทะเยอทะยานอย่างที่อิบรามี ทำให้เราดีขึ้น ถ้าอิบราคือผู้เล่นที่มีคุณสมบัติของแชมเปียนและเป็นนักเตะที่มีเอกลักษณ์ นั่นเป็นเพราะเขามีความกระหายและอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ" สเตฟาโน ปิโอลี กุนซือของเอซี มิลานกล่าวกับ AS
สิ่งนี้ทำให้ไม่ว่าซลาตัน จะย้ายไปอยู่ทีมไหน เขาก็ยังคงความเป็นนักเตะทรงอิทธิพลของทีมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
Photo : www.thelocal.se
"ผมมีวิสัยทัศน์ ผมมีความมั่นใจ ผมเชื่อมั่นในตัวเอง" ซลาตันกล่าวกับ MLS
"ผู้คนเรียกมันว่าความเย่อหยิ่ง แต่ผมเรียกมันว่าความมั่นใจ ผมไม่สนคนที่เรียกมันว่าความเย่อหยิ่ง คนฉลาดเท่านั้นที่เรียกมันว่าความมั่นใจ"
"ตั้งแต่ที่ผมเริ่มเล่นฟุตบอล ผมก็เชื่อมั่นในตัวเองมากๆ มาตลอด นั่นทำให้ผมมีเกราะกำบังในใจ ตอนที่ผมออกไปลงเล่น ผมรู้ว่าผมทำได้ และผมก็ทำได้ดี ผมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบเสมอมา"