จอห์น ร็อคเกอร์ : นักกีฬา "ขวาจัด" ที่คนนิวยอร์กเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์

จอห์น ร็อคเกอร์ : นักกีฬา "ขวาจัด" ที่คนนิวยอร์กเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์

จอห์น ร็อคเกอร์ : นักกีฬา "ขวาจัด" ที่คนนิวยอร์กเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ว่ากันว่าสิ่งที่นักกีฬาไม่ควรพูดถึงมากที่สุดมีอยู่ไม่กี่เรื่อง ... ซึ่งนอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ก็มีเรื่องเชื้อชาตินี่แหละ ที่ไม่ควรแสดงความคิดเห็นในเชิงลบโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตามสำหรับนักกีฬาบางคน พวกเขามองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ชอบก็แค่พูดออกไป สิทธิ์ของข้าใครจะทำไม? ยกตัวอย่างเช่น นักเบสบอลที่ดีที่สุดคนหนึ่งของยุค 2000's

จอห์น ร็อคเกอร์ คือนักกีฬาที่ชาว นิวยอร์ก ทั้งเมืองพร้อมใจกันเกลียดเขาโดยไร้เงื่อนไข ... ทำไมจึงเป็นแบบนั้น 

ติดตามได้ที่นี่

พิทเชอร์มือฉกาจ

พิทเชอร์ คือหนึ่งในตำแหน่งของผู้เล่นเบสบอล โดยตำแหน่งนี้จะมีหน้าที่ขว้างบอลให้เพื่อนร่วมทีมที่เป็นแคชเชอร์ และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ แบตเตอร์ ของทีมตรงข้าม ซึ่งยืนขวางทางแคชเชอร์นั้นตีลูกโดน ดังนั้นจึงพอกล่าวได้ว่า พิทเชอร์ คือตำแหน่งที่สำคัญต่อทีมเป็นอันดับแรกๆ และคนที่จะก้าวขึ้นมาอยู่ในฐานะพิทเชอร์มือฉกาจนั้นต้องเป็นคนที่เก่งจริง ขว้างบอลได้หลากหลายสไตล์ และยังต้องผ่านการแข่งขันในระดับสูงกว่าที่จะก้าวขึ้นมายืน 1 ในวงการ 


Photo : bleacherreport.com

จอห์น ร็อคเกอร์ คือเด็กเทพที่เกิดมาเพื่อเป็นพิทเชอร์โดยแท้จริง เขาฝึกขว้างบอลตั้งแต่เรียนประถม ก่อนจะได้รับการคัดเลือกเข้าโรงเรียน First Presbyterian Day ในรัฐจอร์เจีย ช่วงมัธยม 

สิ่งที่ยอดเยี่ยมของเจ้าหนู "ร็อคเกอร์พิทเชอร์" คือสมัยที่เป็นนักกีฬาระดับมัธยม เขาเคยขว้าง โนฮิตเตอร์ (ไม่มีผู้เล่นทีมคู่แข่งตีลูกที่พิทเชอร์ขว้างโดน และวิ่งเข้าเบสได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว) ถึง 3 เกมติดต่อกัน ซึ่งถือว่าเป็นทักษะในระดับที่เหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากโข พรสวรรค์และการฝึกฝนคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ จอห์น ร็อคเกอร์ มีเส้นทางวัยรุ่นที่ง่ายดายอย่างที่สุด เพราะเขาไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเรื่องการเรียนมหาวิทยาลัยเลยแม้แต่น้อย มีหลายมหาวิทยาลัยในเมืองแอตแลนต้า และรัฐจอร์เจีย มากมายที่ต้อนรับเขาในโควต้านักกีฬา สุดท้ายเขาเลือก University of Georgia ที่มีทีมเบสบอลที่มีชื่อเสียงนามว่า Georgia Bulldogs ซึ่งนำไปสู่การเข้าระบบลีกอาชีพใน MLB (เมเจอร์ลีก เบสบอล) ครั้งแรกกับทีม แอตแลนต้า เบรฟส์ ในปี 1998

จอห์น ใช้เวลา 1 ปีพัฒนาตัวเองขึ้นมาเล่นในระดับอาชีพ ด้วยการทำเซฟถึง 38 เกม ในปี 1999 และพาทีมเข้าสู่รอบเพลย์ออฟ แถมไปไกลถึงรอบชิงแชมป์ เนชั่นแนลลีก (รอบชิงแชมป์สาย ผู้ชนะจะได้เข้าไปเล่นใน เวิลด์ ซีรี่ส์ ศึกชิงแชมป์ประจำฤดูกาล พบแชมป์ อเมริกันลีก) ด้วยการเข้าไปพบกับ นิวยอร์ก เม็ตส์ ทีมจากมหานครที่ไม่มีวันหลับไหล 

ศึกครั้งชิงแชมป์ของ 2 ทีมจากภาคตะวันออกนี้ไม่ใช่แมตช์ธรรมดา เพราะทั้ง นิวยอร์ก เม็ตส์ และ แอตแลนต้า เบรฟส์ ต่างก็เป็น 2 ทีมที่ชิงความยิ่งใหญ่ประจำสาย 

เม็ตส์ นั้นอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เนชั่นแนลลีก ในปี 1962 ขณะที่ เบรฟส์ คือทีมที่ก่อตั้งขึ้นมาปี 1994 และเป็นหน้าใหม่ที่อยากจะล้มยักษ์เก่าให้ได้ ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมา หรือที่เรียกได้ว่าคู่รักคู่แค้นกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งศึกในปี 1999 ครั้งนี้ถูกเติมไฟให้ร้อนขึ้นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะมาถึงของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง จอห์น ร็อคเกอร์ นั่นเอง 

 

เติมไฟให้การแข่งขัน

ด้วยความที่เป็นเกมที่มีเดิมพันสูง แถมศักดิ์ศรีก็กินกันไม่ลง ทำให้อุณหภูมิของเกมเดือดดาลขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครขยี้ ทว่า จอห์น ร็อคเกอร์ เชื่อว่าเกมจะสนุกได้มากกว่านั้นหากเขาได้พูดอะไรออกไป และมันเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขามายาวนาน 


Photo : bleacherreport.com

เรื่องของเรื่องก็คือว่าที่ แอตแลนต้า บ้านเกิดของ จอห์น นั้นเป็นเมืองที่มีผู้อพยพมากมาย มีชาวอเมริกันผิวขาว น้อยกว่ากลุ่มคนผิวดำ, เม็กซิกัน และ ชาวเอเชียอพยพ ดังนั้นเขาจึงมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม หรือถ้าจะอธิบายด้วยบริบทปัจจุบันให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เขาคือกลุ่มคนที่ยกมือสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั่นเอง

จอห์น เป็นอเมริกันผิวขาวชนชั้นกลางค่อนข้างบนของประเทศ พ่อแม่ของเขามีฐานะมีการศึกษา ขณะที่ตัวของเขาแม้จะเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็ก แต่เกรดเฉลี่ยของ จอห์น ตอนเรียนมัธยมก็สูงถึง 3.5 และพ่อของเขาบอกว่าลูกชายเป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

จากสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ทำให้เราพอจะคาดเดาได้ว่าครอบครัวของ ร็อคเกอร์ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ไม่เชื่อเรื่องความเท่าเทียม และไม่สนับสนุนกลุ่มหัวก้าวหน้าหรือ "ลิเบอรัล" นั่นเอง  เพราะมีการเปิดเผยจากเว็บไซต์ Bleacher Report ว่าสมัยที่อยู่ในระดับมหาวิทยาลัย เขาเคยเรียกเพื่อนร่วมทีมที่เป็นคนผิวดำว่า "ไอ้ลิงอ้วน" 

แม้จะเป็นสิ่งที่ทั่วโลกพยายามรณรงค์ และไม่มีใครชอบใจ แต่ดูเหมือนว่า จอห์น จะยึดมั่นในการเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เขาเคยพูดถึงประเด็นเรียกเพื่อนร่วมทีมด้วยถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติในแนวๆ ที่ว่า "ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมผิดตรงไหน?" 

"ไอ้หนุ่มคนนั้นควรจะโดนจับเข้าคุก แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขากลับมาเป็นนักบาสเกตบอล คุณคิดว่ายังไงล่ะ?" จอห์น กล่าว  

ตัวของเขาอธิบายภายหลังว่าเขาไม่ได้คิดจะเหยียดผิวหรือเหยียดเชื้อชาติใครก่อน ทว่าบางครั้งจุดยืนของเขาทำให้มักจะโดนคนอื่นเข้ามารังควานเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เป็นประจำ นั่นทำให้เขาต้องตอบโต้แบบแรงๆ ไป ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ประเด็นที่สังคมเอามาโจมตีเขาจนไม่ได้ผุดได้เกิดหรอก ของจริงมันเริ่มตอนปี 1999 ของ ซีรี่ส์ เม็ตส์ ปะทะ เบรฟส์ ต่างหาก 

มันเป็นธรรมดาที่นักข่าวจะต้องสัมภาษณ์ผู้เล่นดาวเด่นของแต่ละทีม และแจ็คพ็อตก็มาแตกเมื่อ Sports Illustrated เลือกสัมภาษณ์ จอห์น ร็อคเกอร์ ในหัวข้อที่ว่า คุณคิดอย่างไรหากวันหนึ่งได้มาเล่นให้กับทีมในมหานครนิวยอร์ก อย่าง นิวยอร์ก แยงกี้ส์ และ นิวยอร์ก เม็ตส์? ร็อคเกอร์ ตอบกลับแบบที่คนทั้งเมืองต้องตะลึงว่า ...


Photo : www.chatsports.com

"ไม่หรอก ผมคงเลิกเล่นก่อนนั่นแหละ นิวยอร์ก เป็นเมืองที่วุ่นวายที่สุด คุณนึกภาพว่าคุณต้องขึ้นรถไฟไปสนามแข่งสิ บรรยากาศมันคงเหมือนนั่งรถไฟในเบรุต (เมืองหลวงของประเทศ เลบานอน)" ร็อคเกอร์ จั่วหัวแบบไม่กลัวใคร

"เด็กผู้หญิงย้อมหัวสีม่วง นั่งติดกับคนแปลกหน้าที่ติดโรคเอดส์ หันไปด้านขวาเจอไอ้หนุ่มที่เคยผ่านคุกมาแล้ว 4 ครั้ง ถัดจากนั้นไปอีก 1 ตัว เจอกับสาวอายุ 20 ที่เป็นคุณแม่ลูกสี่" 

"สิ่งที่ผมชิงชังมากที่สุดในนิวยอร์ก ก็คือพวกคนต่างชาติพวกนี้แหละ ไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนในเมืองนี้ ผมแทบไม่ได้ยินคนพูดภาษาอังกฤษกัน มีแต่ภาษาเกาหลี, เวียดนาม, อินเดีย, รัสเซีย และ สเปน ผมสงสัยมาก ไอ้คนพวกนี้มันเข้ามาในประเทศของเราได้อย่างไร"

ที่ จอห์น พูดแบบนั้นก็เพราะว่านิวยอร์ก เป็นเมืองที่ติดอันดับมีผู้อพยพจากต่างประเทศเข้ามาอาศัยมากที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา และทำให้กลุ่มคนอนุรักษ์นิยมอย่าง จอห์น ไม่พอใจนั่นเอง 

"ไม่มีที่ไหนในประเทศนี้ จะมีคนที่อยู่ๆ เดินเข้ามาปาขวดน้ำใส่คุณแล้วตะโกนโหวกเหวกว่า "เฮ้ย เมื่อคืนฉันได้แม่แกแล้ว แม่แกมันอย่างเด็ดเลยว่ะ เห็นได้ชัดว่าสิ่งพวกนี้มันทำให้นิวยอร์กเสื่อมโทรม และพวกเขาเองก็รู้ว่าผมพูดถูก" จอห์น ร็อคเกอร์ ซ้ำอีกดอก

ความรู้สึกที่เปลี่ยนไม่ได้

การที่ จอห์น พูดออกไปอย่างนั้น เป็นเหมือนการจุดไฟให้กับคนทั้งนิวยอร์กโดยแท้ ทุกคนไม่พอใจที่อยู่ดีๆ ไอ้หนุ่มจากอีกฝั่งมาจาบจ้วงด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ ดังนั้นเกมการแข่งขันระหว่าง เม็ตส์ และ เบรฟส์ จึงดุเดือดเข้มข้นเล่นกันถึง 6 เกมเลยทีเดียว


Photo : meetthematts.com

ส่วนตัวของจอห์น ยังคงเป็นทองไม่รู้ร้อน ทุกครั้งที่เขาขว้างได้แต้ม เขามักจะออกแอ็คชั่นยียวนกวนประสาทแฟนเบสบอลที่เข้ามาเพื่อด่าทอและโจมตีเขา และสิ่งที่ต้องยอมรับคือ ณ ตอนนั้น เบรฟส์ เป็นทีมที่ดีกว่าและเอาชนะ เม็ตส์ ไป 4-2 เกม นอกจากจะโดนพูดจาจาบจ้วงแล้วยังแพ้ในเกมอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ จอห์น ร็อคเกอร์ กลายเป็นคนที่ชาวนิวยอร์กเกลียดเป็นอันดับ 1 แห่งยุคเลยทีเดียว

จะเก่งแค่ไหนแต่การแสดงจุดยืนที่ไม่ฉลาดแบบนี้ ก็ทำให้ จอห์น ร็อคเกอร์ ต้องเจอกับชีวิตนักกีฬาที่ประสบปัญหา จริงๆ เขาควรจะเล่นในลีกได้อีกเป็น 10 ปีด้วยอายุเพียง 20 กว่าๆ ในตอนนั้น แต่ความจริงคือ เขาเข้ามาในลีกและได้เล่นเพียงแค่ 5 ปี ก็ไม่มีทีมไหนเลือกใช้งาน ซึ่งเราพอคาดเดาได้ว่าเหตุผลไม่น่าจะมาจากเรื่องฟอร์มการเล่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 

"ผมเคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกับเขาในช่วงปี 1996 เขาเป็นพวกไอ้บ้าจอมฟิวส์ขาด เมื่อเขากำลังเพี้ยน ทางดีที่ดีที่สุด คือคุณควรจะอยู่ห่างๆ เขาไปเสียดีกว่า" เคอร์รี่ ลิกเท่นเบิร์ก อดีตเพื่อนร่วมทีมกล่าว

นอกจากนี้ยังมีอดีตโค้ชของ จอห์น ทั้งสมัยเรียนและสมัยเล่นอาชีพอีกหลายคน ที่กล่าวว่า เบสบอล คือเรื่องของการให้ความเคารพและความอ่อนน้อมถ่อมตน ... ซึ่งบางครั้งก็เบรกเขาได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะไม่ใช่อย่างนั้น 

หลายสิ่งหลายอย่างรวมกันกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้สุดท้าย จอห์น ร็อคเกอร์ ประกาศวางมือไปในปี 2003 ซึ่งเขายังอายุแค่ 28 ปีเท่านั้น 


Photo : www.ajc.com

การวางมือของ จอห์น นั้นแปลกประหลาดกว่านักเบสบอลฝีมือดีคนอื่นๆ ตรงที่เขาได้รับเสียงด่าทอ และซ้ำเติมจากแฟนๆ มากกว่าคำชมหรือการพูดสิ่งดีๆ ที่เคยสร้างไว้ 

"ไอ้หมอนี่เป็นคนที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา อาชีพเบสบอลของเขาสั้นขนาดนั้นมันก็ไม่แปลก เพราะสมองของมันก็เล็กจิ๋วไม่ต่างกันหรอก" นักเขียนเจ้าของนามปากกา "มิเชล" จากเว็บไซต์ www.rockersucks.com ... ชื่อคุ้นๆ ใช่ไหม? ไม่แปลกหรอก เพราะเว็บไซต์นี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรวมพลคนเกลียด จอห์น ร็อคเกอร์ โดยเฉพาะ 

เมื่อความเกลียดชังปะทะความเกลียดชังก็ไม่มีอะไรหยุดอยู่ จอห์น ร็อคเกอร์ กลายเป็นคนที่เดินหน้าทำแคมเปญเพื่ออนุรักษ์นิยมอีกมากมายหลังจากที่เขาเลิกเป็นนักเบสบอลอาชีพ 

เขาเคยสนับสนุนแคมเปญ "สปีค อิงลิช" หรือ "พูดอังกฤษสิ" เพื่อบอกเล่าถึงจำนวนผู้อพยพที่เข้ามาสร้างความลำบากให้สหรัฐอเมริกาทั้งๆ ที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ นอกจากนี้ยังปรากฎภาพเขาใส่เสื้อที่สกรีนว่า "ลิเบอรัล ซัค" หรือ ไอ้พวกหัวก้าวหน้าจอมห่วยแตก 

จอห์น เดินหน้าลุยเรื่องพวกนี้อย่างเต็มที่ ในช่วงปี 2012 ที่ บารัค โอบาม่า ได้เป็นประธานาธิบดีของ อเมริกา จอห์น ก็โพสต์ข้อความบอกว่า "อเมริกากำลังเข้าสู่ความโง่เขลาอีกครั้ง"

และไม่ต้องแปลกใจเลยว่าในอีกไม่กี่ปีต่อมาที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี จอห์น ร็อคเกอร์ จะมีความสุขขนาดไหน เขายกมือเชียร์ทรัมป์เต็มที่ และมีความสุขที่ผลการเลือกตั้งเป็นไปตามที่หวัง


Photo : historylocker.com

"อเมริกาต้องการใครสักคนที่ตรงไปตรงมา ไม่มือถือสากปากถือศีล ไม่ชอบอะไรก็พูดออกมา และไม่โอนอ่อนต่อสิ่งอื่นๆ และผมเชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ คือชายคนนั้น" นี่คือสิ่งที่ จอห์น ร็อคเกอร์ ว่าไว้

มาถึงตรงนี้คงยากที่ จอห์น คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร และจะมีใครทำให้เขาเลิกคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่หนึ่งที่เราควรรู้คือโลกคนนี้มีผู้คนมากมายร้อยพ่อพันแม่ บางครั้งพวกเขาก็แตกต่างและทำอะไรที่เป็นเส้นขนานกับบริบทสังคม 

สิ่งที่เราทำได้คือ "ปล่อยให้มันเป็นไป" ใช้ชีวิตของเราให้มีความสุข ไปในที่ที่อยากไป กินในสิ่งที่อยากกิน เพราะชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่คุณจะจงเกลียดจงชังใครสักคนไปจนตาย ... 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook